วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

จากแมลงปอถึงเรื่องเล่า....

 ปลายสุดถนนพัฒนาการ ๖๕ ยังมีหมู่บ้านทิ้งรกร้าง สมัยที่ยังไม่มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน

           หากท่านผู้อ่านบางท่านได้ติดตาม เรื่องเล่า...มาบ้างแล้ว คงจะเคยเห็นภาพประสบการณ์การเรียนรู้ที่บ้านของเด็กๆกับพ่อแม่  เริ่มตั้งแต่ความสนใจหนอนผีเสื้อของดลตอนวัย เจ็ดขวบ เริ่มต้นเรื่องที่ต้นส้มจี๊ดหน้าบ้านและพากันโยงใยไปถึงผีเสื้อหลากหลายชนิด "แมลงปอ"ก็เช่นกันเราเริ่มต้นความสนใจอยู่ตรงที่ทุ่งรกร้างหลังบ้านที่มีแหล่งน้ำขังเป็นตัวหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตน้อยใหญ่ให้อยู่รอด เรามีโอกาศได้ไปเก็บเกี่ยวเรียนรู้กันทุกๆวัน ค่อยๆสะสมแรงบันดาลใจให้มีมากพอจนเกิดความต่อเนื่องและโยงใยความอยากรู้อยากเห็นให้ขยายขอบเขตออกไปไม่สิ้นสุดมาจนถึงตอนโต แม้จะกลับเข้าสู่ระบบไปโรงเรียนกันหมดแล้ว ก็ยังโหยหาเวลาอิสระกลับเข้าสู่โลกธรรมชาติในช่วงเวลาวันหยุดและปิดเทอมอยู่เสมอ

ดลกำลังปั่นจักรยานลัดเลาะมาถึงทางรถไฟและคูน้ำ


แมลงปอตอนเริ่มต้น
            จากเส้นทางปั่นจักรยานที่พ่อพาเด็กสองคนปั่นกันเป็นประจำ ไปจนสุดทางถนนของหมู่บ้านร้าง ลัดเลาะต้นมะขามเทศออกไปเจอทางรถไฟสายตะวันออก  สภาพแวดล้อมแถวนี้ ถึงแม้จะมีซากปรักหักพังจากการสร้างไม่เสร็จของโครงการบ้านจัดสรรที่ทิ้งเหลือไว้ประกอบทิวทัศน์  มีกองขยะประปรายตามสุดทางถนนคอนกรีต  แต่ก็ยังเป็นห้องเรียนธรรมชาติให้เด็กสองคนเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี  ตรงข้างทางรถไฟเลียบยาวไปสุดลูกหูลูกตานี้เอง มีคูน้ำวิ่งคู่ขนานไปเจอกับคลองเล็กๆข้างหน้าไกลออกไป มีกอต้นธูปขึ้นอยู่ในคูน้ำเป็นหย่อมๆ   เราค่อยๆปั่นลัดเลาะมาตามแนวทางเดินที่ไม่ค่อยมีคนผ่านสัญจรมากนัก นอกจากฝูงวัวที่ยังมีคนเลี้ยงอยู่แถวนี้ ไมยราพยักษ์จึงขึ้นรกชันทั้งสองข้างทางจนมาถึงบริเวณข้างทางรถไฟ  สังเกตเห็นคูน้ำถูกขุดลอกสูงขึ้นมาด้วยกองดินตลอดแนวแปลกตาไปจากเดิม  ดลเห็นแมลงปอบ้านบินวนเวียนตามแนวคูน้ำเลยแวะจอดลงสำรวจก่อนใคร ต้องค่อยๆไต่ลงไปริมคูน้ำ  ส่วนพ่อและแดนตามไปสมทบ
ดลลงสำรวจคูน้ำข้างทางรถไฟ แหล่งอาศัยสรรพชีวิตมากมาย
ไม่เฉพาะแค่ตัวอ่อน
แมลงปอ


            “พ่อแมลงปอ.....นี่อยู่นี่ไงดลตะโกนบอกพ่อพลางชี้มือไปที่ผิวน้ำตรงหน้า นับว่าเป็นภาพประทับสำคัญครั้งแรกสำหรับการทำความรู้จักแมลงปอเพราะไม่ห่างไปจากจุดนี้เราได้พบกับเปลือกลอกคราบของแมลงปอเกาะคาอยู่บนใบต้นธูปริมคูน้ำ ดลมักเจอแมลงปออยู่บ่อยๆตามริมบึงหลังบ้าน หรือแม้กระทั่งแถวแหล่งน้ำขังตามท้องถนนก็เคยเจอ ด้วยความสงสัยว่ามันชอบมาบินวนเวียนอยู่ทำไม ดลเฝ้าสังเกตุดูอยู่นานๆหลายหน แมลงปอจะบินเอาปลายหางจุ่มลงไปตามผิวน้ำเป็นจังหวะๆ มันจะหาแหล่งน้ำที่เหมาะสมสำหรับการวางไข่ แมลงปอวางไข่ในน้ำเป็นเรื่องราวที่เราค้นเจอ และที่น่าตื่นเต้นยิ่งไปกว่านั้นแมลงปอคือแมลงนักล่าหรือตัวห้ำนี่แหละ ตัวอ่อนแมลงปอจึงกินสัตว์เล็กในน้ำ พอบินได้มันสามารถไล่จับงับแมลงกินกลางอากาศ  ถ้าอยากเห็นแมลงปอให้ลองออกมาวิ่งเล่นนอกบ้านเจอแอ่งน้ำหรือตามริมบึงรับรองเจอบินวนเวียนอยู่แน่นอน โดยเฉพาะเวลาหลังฝนตกตามบริเวณแหล่งน้ำทุกหนแห่ง  สำคัญตรงที่ดลและแดนยังไม่เคยเห็นเหตุการณ์ตอนแมลงปอไล่งับแมลงกลางอากาศตามคำบอกเล่าเลยสักครั้ง

แมลงปอตัวสำคัญลอยกางปีกอยู่บนผิวน้ำ

 เปลือกตัวอ่อนแมลงปอที่ไต่ใบต้นธูปขึ้นมาลอกคราบเป็นแมลงปอตัวเต็มวัย

แต่ก็นับว่าเป็นต้นทุนในการทำความรู้จักแมลงปออย่างจริงจังในเวลาต่อมากับน้าเกรียงและเพื่อนๆ โดยเริ่มต้นจากเส้นทางเดิมๆและพื้นที่ที่คุ้นเคยคือทุ่งหลังบ้าน  ดลเคยทำตำแหน่งแผนที่บ้านของเราและละแวกแถวนั้นรวมถึงแหล่งน้ำสำคัญเอาไว้ เป็นเส้นทางปั่นจักรยานสำหรับพาเพื่อนไปสำรวจกัน  มาย้อนคิดดูหากพลาดโอกาสสำคัญนี้ไป เราเกือบจะไม่รู้เลยว่ามีวงจรชีวิตที่มหัศจรรย์อีกมากมายอาศัยอยู่ทุกหนแห่งในธรรมชาติ ผมถือว่าเป็นจังหวะและโอกาสที่ดีอีกครั้งหนึ่ง  สำหรับประสบการณ์การเรียนรู้ในห้องเรียนธรรมชาติของดลและแดน ถึงแม้ว่าความใผ่ฝันของเด็กสองคนนี้และผมไม่สามารถเป็นจริงได้เสียทั้งหมด

 ตัวอ่อนแมลงปอที่อาศัยอยู่ในน้ำเป็นนักล่าหากินสัตว์เล็กๆ
ดลกับแดนกำลังเขียนแผนที่เส้นทางจักรยานและจุดสำรวจที่พบเจอตัวอ่อนแมลงปอ
ตลกับคูน้ำข้างทางรถไฟสายตะวันออก

ท้ายสุดจากเรื่องเล่า
            เราเล่าเรื่องเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกและมุมมองของเด็กๆ  ที่ผ่านประสบการณ์ในธรรมชาติ  ซึ่งสำหรับเราแล้วถือเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่พ่อแม่อย่างเราเพิ่งจะมาเห็นคุณค่าของร่องรอยความคิดของเด็กๆที่ตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้ ได้สัมผัสกับศักยภาพในการถ่ายทอดและตอบสนองการเรียนรู้โดยธรรมชาติ ในมิติของธรรมชาติซึ่งต่อมาเรียกขานกันว่า ห้องเรียนธรรมชาติ และโดยเฉพาะได้เห็นเป็นการละเล่นเรียนรู้ ของเด็กๆ ผ่านกระบวนการศิลปะที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างน่าสนใจ การรวบรวมภาพบันทึกและเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรง อาจจะยังไม่ครบหมดกระบวน แต่ก็ได้ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดที่ตรงนี้ ถือเป็นการตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในชีวิต และด้วยความพยายามที่จะเรียงลำดับ ความฝัน และความจริง ให้ร้อยเรียงกันเป็นจังหวะที่คล้องจองกับสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่รอบตัวพร้อมๆไปกับลูกในช่วงชีวิตวัยเด็ก เป็นคำบอกเล่าที่ย้ำเตือนถึงการให้เวลาและคุณค่ากับสิ่งที่จะเข้ามาและผ่านเลยไปในชีวิต  มีกุญแจดอกสำคัญอยู่ตรงที่พลังและหัวใจที่จะสามารถเปิดประตูหน้าต่าง สู่โลกแห่งความเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหน....แม้ว่าเราจะเคยจินตนาการไว้เช่นไรก็ตาม
  

หนอนของผีเสื้อยักษ์

   หนอนผีเสื้อกะท้อน ตัวโตกำลังกินใบกะท้อนที่ปลายยอดกิ่งเกือบหมด
อยากเล่าเรื่องราวความประทับใจของวัยเด็ก ตอนที่เกิดแรงบันดาลใจลุกขึ้นมาทำโน่นทำนี่อยู่เสมอ บางครั้งผู้ใหญ่มักเหมาเอาว่าเป็นการเล่นซนไปวันๆมองลึกลงไป การละเล่นทั้งหมดของเด็กสามารถนำพาไปสู่สิ่งสร้างสรรค์ได้เสมอ ผมมองเห็นวาระความสนใจของดลและแดนในแต่ละเรื่องมักเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ ถ้าหากเหล่าแรงบันดาลใจเหล่านั้นยังมิได้บรรลุสู่เป้าหมาย ความสนใจก็จะวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านั้นจนกว่าจะได้ก้าวเคลื่อนคืบหน้าไป เมื่อได้มีประสบการณ์เรียนรู้สัมผัสเพียงพอต่อความต้องการแล้วจะค่อยๆเบนความสนใจให้กับสิ่งใหม่ๆเข้ามาแทนที่ ขึ้นอยู่กับว่ามีความต่อเนื่องและเชื่อมโยงกับประสบการณ์เก่าได้มากน้อยแค่ไหน

  ดลกำลังปีนกระไดขึ้นไปเก็บหนอนกะท้อนจากกิ่ง
แดนก็ปีนกระไดขึ้นไปคอยรับหนอนกะท้อนจากแม่หน่อยปีนอยู่ด้านหลัง
ผีเสื้อยักษ์
ในช่วงหนึ่งตอนเด็กของดลและแดนที่มีแต่หนอนและผีเสื้อ  ระยะนั้นมีผีเสื้อยักษ์หรือผีเสื้อแอตลาส(Attacus atlas) เป็นตัวชูโรง ด้วยเหตุที่มันเป็นผีเสื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยนับรวมทั้งผีเสื้อกลางวัน(butterfly)และผีเสื้อกลางคืน(Moth)ผีเสื้อแอตลาสก็คือผีเสื้อกะท้อนนั่นเอง มันแปลงกายมาจากหนอนที่กินใบกะท้อน เป็นผีเสื้อปีกลายสีน้ำตาลและขาว มีลวดลายสลับสีเข้มและอ่อน ตรงหนวดจะมีลักษณะเป็นขนนก ไม่เหมือนกับผีเสื้อกลางวัน ดลและแดน เคยเห็นผีเสื้อกลางวันมาหลายชนิด ที่ตัวใหญ่ที่สุดก็น่าจะเป็นผีเสื้อถุงทอง แต่สำหรับผีเสื้อแอตลาสยังไม่เคยเห็น มันใหญ่กว่าและมีขนาดถึง ๓๐ ซม.ตอนกางปีกออก นั่นคือมอทที่ใหญ่ที่สุด เวลาไปไหนมาไหนจึงมักมองหาต้นกะท้อน หาดูทุกครั้งที่ขี่จักรยานผ่านก็ไม่เคยเจอสักที จินตนาการของเด็กสองคนครุกรุ่นอยู่ในใจ  พ่อจึงคิดหาทางคลี่คลายถ่ายทอดจินตนาการออกมาให้เป็นรูปธรรมเสียบ้าง

   ผลงานผีเสื้อยักษ์จำลองที่ดลวาดและหัดเลื่อยไม้ลงสีโดยมีพ่อคอยช่วย
มาทำผีเสื้อยักษ์กัน
เราลองทำตัวหุ่นจำลองผีเสื้อแอตลาสด้วยไม้มาเล่นกัน  จำลองแบบลักษณะให้เหมือน....ให้ขยับปีกได้ด้วย พ่อเองพยายามนึกฝันไปตามลูกแล้วก็ชวนกันคิดทำสิ่งที่เป็นไปได้  ดลได้ดูศึกษาแบบปีกและลำตัวอย่างละเอียดแล้ววาดลงในกระดาษ แบ่งชิ้นส่วนเป็นปีกคู่บนและล่างโดยวาดภาพชุดปีกไว้ข้างเดียว แล้วพับกระดาษเขียนก็ออปี้คู่ปีกอีกข้างหนึ่ง ได้ปีกคู่เท่ากันแบบสมมารตรพอดี  จากนั้นลอกแบบลงบนไม้ฉลุ  ดลพยายามเลื่อยไม้ฉลุอย่างทุลักทุเลพ่อต้องคอยช่วยเหลือและประกอบเป็นตัวจนสำเร็จ ดลจึงจัดการทาสีเลียนแบบผีเสื้อแอตลาส และทำให้มันขยับปีกได้ด้วย พามันบินเวียนร่อนไปมาทุกหนแห่งในบ้าน โดยมีน้องแดนวิ่งตามผีเสื้อยักษ์ไปด้วยความระทึกใจ

ไปจับหนอนยักษ์
จินตนาการกับความจริงที่สัมผัสได้แตกต่างกันมาก การที่จะถลำลึกเข้าไในโลกธรรมชาตินั้นถ้ามีโอกาสและจังหวะ เรามักจะไม่มีการรีรอ คราวที่อาตู่โทรศัพท์มาบอกให้ไปดูหนอนตัวโตเต็มต้นกะท้อนในสวนที่นครชัยศรี เรายกเลิกสิ่งที่จะต้องทำในวันนั้นโดยไม่ต้องชั่งใจเราจะไปสวนอาตู่ที่นครชัยศรีกัน ไปดูหนอนตัวโต" เมื่อไปถึงสวนเห็นต้นกะท้อนหน้าบ้านที่เหลือใบอยู่หรอมแหรม  มีตัวหนอนสีเขียวอ่อนลำตัวประมาณกล้วยเล็บมือนาง ซึ่งถือว่าตัวใหญ่มากในบรรดาหนอนด้วยกัน  บนหลังมีหนามและประแป้งขาวบางๆ ทั้งตัว คลานเกาะอยู่ตามลำต้นเต็มไปหมด

แดนชูกิ่งกะท้อนที่มีหนอนกำลังกินอยู่หลายตัว
หนอนกะท้อนบางตัวขาวเหมือนประแป้งกำลังคืบคลานลงมาเพื่อจะไปกินต้นอื่นๆ

ดลแดนไม่รีรอ ลองจับหนอนใส่มือเหมือนชั่งน้ำหนัก  หนอนอีกหลายๆตัวกำลังไต่คืบลงจากต้นเพื่อไปกินต้นข้างเคียง  ดลเตรียมกล่องหนอนมาใส่สองกล่องใหญ่ ถึงอย่างนั้นก็เห็นท่าจะเล็กไปสำหรับหนอนรุ่นใหญ่แบบหนอนกะท้อน ดลกับแดนเก็บหนอนตามลำต้นข้างล่าง ส่วนแม่หน่อยใช้บันไดปีนป่ายเก็บตามกิ่งบนต้น  หนอนกะท้อนสองลังกระดาษกับสองกล่องหนอนทั้งหมดประมาณ 30 กว่าตัวจำนวนมากขนาดนี้ จึงตัดสินใจกันว่า จัดแบ่งเอาไว้เลี้ยงส่วนหนึ่ง และหนอนที่เหลือเอาไปให้"อาสุนันท์"ที่สวนผีเสื้อกรุงเทพฯดูแลโดยตรงจะดีกว่า ลำพังคงจะหาใบกะท้อนมาให้หนอนทั้งหมดกินไม่พอแน่ "อาสุนันท์"เตรียมพร้อมรอรับเจ้าหนอนด้วยต้นกระท้อนปลูกใส่กระถางใบโตอยู่สี่ต้น เด็กๆไปถึงก็รีบจัดการย้ายเจ้าหนอนเข้าสู่บ้านใหม่ทันที


  ดักแด้หนอนกะท้อน ที่ใช้ใยห่อหุ้มและมีใบกะท้อนแห้งห่อหุ้มอีกชั้น
อาสุนันท์บอกว่าที่มีทั้งหนอนตัวโตและตัวเล็กก็เพราะมันกินอาหารไม่เท่ากันและออกจากไข่เวลาไล่เลี่ยกัน  แต่ดูทีท่าว่าพวกหนอนจะกินไปอีกไม่นานแล้วก็จะเข้าดักแด้ ซึ่งจะเขาอยู่นานหลายเดือน ต้องรอคอยอย่างอดทน จนกว่าจะได้เห็นเป็นผีเสื้อแอตลาส  แต่ที่มหัศจรรย์สุดๆ ก็คือเมื่อบินออกไเป็นตัวผีเสื้อตัวเต็มวัยแล้ว มันจะไม่กินอาหารอีกเลย

          “แล้วมันเกิดมาทำไม?” ดลตั้งคำถาม

   ผีเสื้อยักษ์แอตลาส หรือผีเสื้อกะท้อน (Attacus atlas) บันทึกภาพได้ที่เขาใหญ่

ความรู้และเรื่องราวของผีเสื้อไม่ได้อยู่แค่ตัวหนังสือ แต่มันคือการยักย้ายถ่ายเทข้อมูลที่เด็กๆ สนใจไปสู่ประสบการณ์สำคัญตามครรลองที่จะดำเนินไปจากโลกจินตนาการไปสู่ความเป็นจริง และบางครั้งจากโลกความเป็นจริงกลับไปสู่โลกจินตนาการก็มี....



ควบกล้ำ..บนผืนผ้าใบ

            ถอยหลังกลับมาตอนแรกเริ่มตอนที่เด็กๆกับศิลปะเป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน เมื่อได้เจอสีและพื้นที่ขนาดใหญ่โต และจะสนุกมากขึ้นไปอีกเมื่อได้มีประสบการณ์จากห้องเรียนธรรมชาติ ผู้เอื้ออำนวยจึงให้ความสำคัญกับผลสำเร็จเมื่อความงดงามที่เกิดขึ้นมิใช่เพียงร่องรอยขีดเขี่ยไร้ความหมาย ศิลปะควบกล้ำจึงเป็นที่มาของมุมมองที่จับเอาความงดงามที่สดใหม่ของเด็กแม้ดูเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเป็นธรรมชาติของเด็กๆ ถูกนำมาต่อยอดในมุมมองของผู้ใหญ่ที่สอดประสานความหมายจากประสบการณ์เดียวกัน ผลงานศิลปะจากการทำงานร่วมกันระหว่างพ่อและลูกครั้งแรกถูกรวบรวมคัดสรรจัดแสดงเป็นนิทรรศการศิลปะควบกล้ำเป็นครั้งแรก ในปี พ.. ๒๕๔๗


"น้ำตกห้วยยาง" .ประจวบคีรีขันธ์ แหล่งเรียนรู้ธรรมชาติแห่งแรกๆที่ดลรู้จัก ครั้งนั้นในวันที่ฝนพรำ ดลใส่เสื้อกันฝนเดินย่ำฝ่าเม็ดฝน พ่อเดินจูงพาลัดเลาะขึ้นน้ำตก ผ่านแก่งหิน ก้อนโต เป็นระยะๆ ท่ามกลางกระแสน้ำไหลหลากจากภูเขา ผ่านต้นยางต้นใหญ่ที่อาศัยพักพิงของเหล่าสรรพชีวิตน้อยใหญ่ที่ดลแวะไปทักทาย รวมถึงกระสุนพระอินทร์ชีวิตแปลกใหม่คล้ายกิ้งกือแต่หดตัวเป็นเม็ดกลมกลิ้งได้  ดลกลับมาบ้านละเลงสีจากประสบการณ์ตรงพร้อมบรรยากาศภาพรอยประทับ พ่อเห็น..ดลเห็น เป็นเช่นนั้นเอง  เหล่าชีวิตที่คุ้ยเคยจึงถูกวาดเพิ่มเติมลงไปโดยพ่อ  เราต่างเชี่อมโยงภาพประทับให้เห็นเป็นจริงขึ้นมาร่วมกัน



ฉลามใจดี เรื่องราวจากใต้ท้องทะเลลึก ที่ปกคลุมด้วยความมืดมิด มีฉลามยักษ์ใหญ่ใจดีกินแต่แพลงตอน พลัดหลงเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงปลาทะเลลึกที่แปลกประหลาดชื่อ แองเกลอฟิช ติดโคมไฟส่องแสงไว้ล่อเหยื่อพวกปลาที่หลงแสงสี   ดลถ่ายทอดจินตนาการ ผ่านสีสัน และเส้นโครงสร้างรูปทรงแบบฉับไว ด้วยแรงบันดาลใจจากข้อมูลเรื่องราวใต้ท้องทะเลลึก ณ.แหล่งเรียนรู้พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสน สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล จ.ชลบุรี โดยเฉพาฉลามวาฬตัวโตยาวกว่ารถที่บ้านเสียอีก ดลและแดนลองไปยืนเทียบและแตะสัมผัสตัวมาแล้วด้วย

. "ร่องรอยของแดน" ผลงานละเลง ขูดขีดและเขียน บนผืนผ้าใบชิ้นใหญ่ ของเด็กวัยสองขวบกว่าตามวัยพัฒนาการและประสบการณ์การรับรู้เท่าที่มีอยู่ เราพบว่าในร่องรอยที่ทับซ้อนมีความงดงามมหัศจรรย์ซ่อนอยู่มากมาย





. “สิ่งมีชีวิต การรับรู้ที่ตอบสนองสัมผัสของดลและแดน ถูกตีความผ่านสิ่งเคลื่อนไหวที่มีชีวิต สิ่งมีชีวิตของดลและแดน  ในขณะที่มีโลกทัศน์ที่แตกต่างกันด้วยทักษะการควบคุมกล้ามเนื้อมือ ร่องรอยที่เชื่อมโยงความรู้สึกในโลกใบเดียวกันจึงมีความแตกต่างกันหลากหลายจินตนาการ ด้วยฝีแปรงบนพื้นสีที่ต่างคนต่างเลือกละเลงกันคนละเฟรม

. “ปลากระเบน ดลติดใจอยู่ที่ ป.ปลา วนว่ายคล้ายกระพือปีก แถมรูปทรงประหลาดกว่าตัวอื่นเสียด้วย  ดลจึงลงมือวาดปลากระเบนเคลื่อนไหวคล้ายนกยักษ์แห่งท้องทะเล ตะหวัดทีแปรงฉวัดเฉวียน ส่วนมุมมองของพ่อมองผ่านทะลุจัดการวาดกระเบนใสใส่ท้องทะเล


.“ปลาผีเสื้อ ผลงานการละเลงสีบนผ้าใบขนาดใหญ่ในชิ้นแรกๆ โดยประสบการณ์ของดล การเขียนบนผ้าใบบนพื้นที่กว้างคงเหมือนท้องทะเลกว้างใหญ่ มากกว่าบนแผ่นกระดาษเล็ก ดลมีพื้นที่ให้วาดเล่นบนกระดาษฉากถ่ายรูปมาก่อน การวาดภาพบนผืนผ้าใบจึงสนุกสนาน สด และดิบอย่างที่เห็น  พ่อเลือกมองผ่าน รูปทรงสีใส  ของปลา ผีเสื้อ แม้เป็นเพียงชื่อสามัญ แต่หารู้ไม่ว่า ความสนใจของเด็กๆคืบคลานความสนใจโยงใยมาถึงผีเสื้อตัวจริงอีกหลากหลายชนิดในวัยต่อมาโดยวิธีการเดียวกันคือใช่กระบวนการศิลปะเป็นตัวถ่ายทอด

          สำหรับเด็กๆ บนผืนผ้าใบที่กว้างใหญ่เปรียบเสมือน พื้นที่เปิดกว้างสำหรับจินตนาการและอิสระภาพในการแสดงออกอย่างเต็มที่ สำคัญตรงที่จินตนาการเหล่านี้จะพรั่งพรูออกมาได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับข้อมูลและประสบการณ์ตรง ดลและแดน พรั่งพรูออกมาโดยไม่ขัดเขินคงเพราะ ประสบการณ์ตรงจากห้องเรียนธรรมชาติได้สร้างรอยประทับไว้มากมาย ประกอบกับการไม่คาดหวังในเชิงทักษะทางศิลปะมากนัก แต่มุ่งเน้นไปที่การค้นพบคุณค่าในธรรมชาติของสรรพสิ่งแม้กระทั่งคุณค่าของความไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม

ควบกล้ำ ศิลปะ

เรื่องเล่าขอเล่าเรื่องศิลปะของเด็กๆ ที่เลือกเอาธรรมชาติเป็นห้องเรียนใบใหญ่  ใช้บ้านเป็นฐานเรียนรู้  และมีกิจกรรมศิลปะเป็นสื่อถ่ายทอดประสบการณ์การรับรู้จากธรรมชาติโดยตรง  ร่องรอยจึงสะท้อนผลจากการเรียนรู้ในมิติธรรมชาติที่ผสมผสานด้วยจินตนาการ ความรู้สึกที่มีต่อความงามและสุนทรียภาพในบริบทแห่งสรรพชีวิต  เป็นข้อมูลประสบการณ์ที่สำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจจากสรรพสิ่งในธรรมชาติ นับตั้งแต่วัยเด็กแรกเริ่มถึงวัยก่อนเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วัยรุ่นของเด็กชายสองคน ดล และแดน ในช่วงวัย ๗-๑๑ ขวบ เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สามารถฝังรากลึก สำนึกรักษาสรรพสิ่งในระบบธรรมชาติที่เกื้อกูลสรรพชีวิตให้ดำรงอยู่ได้อย่างยั้งยืน  จากการเริ่มต้นกันที่บ้านขยายผลการเรียนรู้ออกไปทุกหนแห่ง ฝึกฝนปฏิบัติกันไปตามอัธยาศัย
เด็ก ผู้ใหญ่ และธรรมชาติ
ร่องรอย อันเกิดจากการถ่ายทอดส่งต่อกันระหว่างการรับรู้และมุมมองที่เหมือนและแตกต่าง ระหว่างโลกธรรมชาติ โลกของเด็กและมุมมองของผู้ใหญ่ถูกเชื่อมต่อโดยสายใย พ่อ แม่และลูกกับวิถีชีวิตที่ใช้ร่วมกัน ปรากฏการณ์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นถือเป็นห้องปฎิบัติการเรียนรู้โดยครอบครัวที่น่าตื่นเต้น เมื่อประสบการณ์ของเด็กๆได้หยั่งถึงความมหัศจรรย์ของสรรพชีวิต การถ่ายทอดร่องรอยที่เกิดจากการทาบซ้อน ลอกเลียนและสื่อสารความคิดผ่านจินตนาการของกันและกันภายใต้เครือข่ายสายใยชีวิตของโลกธรรมชาติ จึงถูกรวบรวบออกมาเป็นผลงานศิลปะควบกล้ำธรรมชาติ ในปี พ..๒๕๔๘

1.ผีเสื้อที่อยากรู้จัก ภาพชุดผีเสื้อที่ดลวาดด้วยสีน้ำมัน จากความประทับใจที่เคยเจอและไม่เคยเจอ บางตัวเคยพบเจอด้วยประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นเช่น ตอนที่ปั่นจักรยานยามเช้าที่ทุ่งกระมัง แวะถ่ายรูปกับเถาวัลย์ริมทาง ได้พบเจอ ผีเสื้อหางยาวตาเคียว เกาะนิ่งอยู่บนกิ่งไม้โดยบังเอิญพอดี ส่วนอีกตัวผีเสื้อกลางคืนมอทแอตลาส เป็นมอทยักษ์ที่ใหญ่ที่สุด ดลกับแดนเคยเจอมาแล้วและชอบที่สุดตรงที่ได้ไปเก็บหนอนตัวโตกำลังกินใบกะท้อนเต็มต้นที่สวนอาตู่  แต่ผีเสื้อมอร์โฟสีน้ำเงินฟ้าสวยสดเป็นผีเสื้อที่ดลและแดนไฝ่ฝันอยากจะเห็นตัวจริงจากทวีปอเมริกากลางและใต้ ส่วนอีกตัวเป็นผีเสื้อสำคัญที่ดลและแดนไม่มีโอกาศได้เจอตัวเป็นๆแน่นอนเพราะ ผีเสื้อสมิงเชียงดาวมีรายงานว่าสูญพันธ์ไปแล้ว นอกนั้นก็จะวาดผีเสื้อที่เคยเพาะเลี้ยงและรู้จัก
2.แมลงปอและสัตว์เล็กน้ำจืด ภาพวาดจากประสบการณ์การสำรวจสิ่งมีชีวิตในน้ำ รวมทั้งกิจกรรมนักสืบสายน้ำ ที่สร้างรอยประทับการจดจำทำความรู้จักโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตเล็กๆในน้ำผ่านแว่นขยาย  สิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดมหัศจรรย์จึงถูกถ่ายทอดด้วยฝีแปรงสดๆที่ไร้สีสันของดล (Blind stroke วาดภาพด้วยน้ำกาวยาง rubber cement)พอกาวแห้งจึงลงสีทับรอจนสีแห้งอีกครั้งแล้วลอกกาวออก ได้ภาพสัตว์ตัวเล็กๆในน้ำที่ปกติเราแทบมองไม่เห็น เช่น ตัวอ่อนแมลงปอ หนอนปลอกน้ำ แมลงเกาะหิน ด้วงดิ่ง รวมทั้งวงจรชีวิตที่อยู่ร่วมกันของสัตว์เหล่านี้ ที่สำคัญการจำแนกชื่อจากการรู้จักทำให้รู้ว่าสัตว์แต่ละชนิดชี้วัดคุณภาพน้ำได้อย่างไร
 3.ทุ่งกะมัง ครั้งที่ดลแดนเคยไปสัมผัสธรรมชาติที่ทุ่งกะมัง ความทรงจำของดลถูกถ่ายทอดบันทึกไว้บนผืนผ้าใบ มีสัตว์ต่างๆเป็นตัวเล่าเรื่องประสบการณ์สำคัญ ตั้งแต่ผีเสื้อหางยาวตาเคียวตัวนั้น ดงใส้เดือนตัวยาวที่เคยจับขึ้นมาเล่นเต็มมือไปหมด หิ่งห้อยในตอนกลางคืน ตัวอ่อนแมลปอ ลูกยางปีกหมุนจากต้นยางสูง เม่นที่ดลเจอขนและเห็นตัวแว็บเดียว กิ่งกือทุ่งกะมังตัวสีแดง และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือฝูงกวางที่ทุ่งกะมัง

4.
นกเงือก ภาพวาดนกเงือกของดลในตอนที่ยังไม่รู้จักมากนัก เป็นแรงบันดาลใจให้ดั้นด้นไปรู้จักทีมวิจัยนกเงือกในเวลาต่อมา
5.สัตว์ของแดน พัฒนาการของแดนตามติดพี่ดลเสมอ  เมื่อแรงบันดาลใจจากสิงสาราสัตว์ครุกรุ่นอยู่ในหัว แดนขยับฝีแปรงแบบใช้กาวยางสีใสเขียนภาพดูบ้าง ละเลงสีทับสลับกันดำและทอง ความตื่นเต้นสุดๆ เมื่อรูปทรงใหม่ค่อยๆปรากฏ  ดูเหมือนว่าจะโผล่ออกมาจากใจภายในที่ตอบสนองความคิดของแดน
ดลและแดนกับป้ายผ้าทำมือ นิทรรศการ ศิลปะควบกล้ำธรรมชาติ เมื่อปี พ..๒๕๔๘ ที่ช่วยกันทำนำมาติดประชาสัมพันธ์

 7.หกขา ภาพวาดของดลและแดนที่รวบรวมเอา หนอน แมลงเต่าทอง ผีเสื้อ และด้วง ที่มักวาดสะสมเอาไว้

บรรยากาศวันเปิดนิทรรศการ
รองศาสตราจารย์ประภาภัทร นิยม กำลังชมผลงาน
.หอศิลปจามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




8.ความเงียบ ดลวาดตุ๊กแกตัวโต จนล้นเฟรมพ่อเลยต้องต่อความยาวให้ เป็นความผิดพลาดที่ลงตัวพอดี ดลมักตามหาเจ้าของเสียงจนเจอตัว มันมักสงบนิ่งท่ามกลางความเงียบทุกครั้ง



               
9.จำได้ ภาพวาดของดลและแดนจับคู่กัน แดนละเลงสีเป็นต้นไม้ใหญ่ นึกถึงตอนที่ต้องเดินเองและพ่ออุ้มพากันเข้าป่าไปดูต้นกร่างยักษ์ที่ภูเขียว ส่วนดลมีหมุดจดจำอยู่ที่ กวางและรอยเท้า ผีเสื้อ ใส้เดือนตัวยาว และขนเม่น เป็นความประทับใจ