ภาพถ่าย เสี้ยวเวลาที่มองไม่เห็น จุดเปลี่ยนเมื่อมีเหตุการณ์ดำเนินไป....﴾͡๏̯͡๏﴿
เช้าวันหนึ่งของช่วงเดือนพฤษภา ในวันที่ครึ้มฟ้า ครึ้มฝน บรรยากาศช่างดูขมุกขมัว ดลแดนงัวเงียขึ้นมาสายพอควรสำหรับวันนี้ คงเพราะกลับจากหมู่บ้านเด็กเมื่อคืน....กว่าจะได้เข้านอนก็ปาเข้าไป ห้าทุ่ม แล้ว....แต่สำหรับผมไม่ว่าบรรยากาศจะเป็นเช่นใด หลังจัดการกับเรื่องตัวเองเรียบร้อย ความคิดในหัวสมองก็มีแต่เรื่องที่จะเดินหน้าต่อไปสำหรับวิถีเรียนรู้ของครอบครัว วันนี้พ่อเรียกดลแดนกลับมาดูกระดานช่วยจำ เกี่ยวกับงานคั่งค้างและงานที่อยากจะทำ แต่บรรยากาศวันนี้โดยเฉพาะดล ไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ เมื่อเราคุยกันถึงงานบันทึกคั่งค้างที่ถูกถามถึง นกที่กรุงชิงและแมลงที่เกาะช้าง ซึ่งรู้สึกว่าจะไม่ได้คำตอบเสียด้วยเพราะเกินเวลามามากแล้ว เราทบทวนทำความเข้าใจและย้ำเตือนเสมอถึงความรับผิดชอบและเมื่อบรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้น พ่อเปลี่ยนเป็นเรื่องที่อยากจะทำ ดลอยากขุดบ่อดินเลี้ยงปลาดุก พ่อโอเค...ตกลง แต่ต้องสอบถามรายละเอียดในหลายเรื่องมากขึ้น สุดท้ายบรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมาอีก
“ทำไมพ่อต้องเข้ามายุ่ง
ดลอยากทำอะไรเอง ลองผิดลองถูกอะไรเอง
อย่างพ่อ...พ่อเคยทำมาแล้วอันไหนได้ไม่ได้พ่อก็รู้มาแล้ว แต่ดลอยากลองเองรู้เอง
ดลอยากทำอะไรเองแบบที่พ่อไม่ยุ่งเลย” ผมฟังแล้วคิดแต่ในใจรู้ว่า
ดลต้องการอะไรในเด็กวัยย่างเข้าสิบเอ็ดแล้ว เพราะบางครั้งที่เราเข้าไปแทรกแซงหรือเตือนไว้ก่อน
ก็คงเป็นเรื่องอันตรายจากอุบัติเหตุหรือข้อผิดพลาดที่ส่งผลเสียมากกว่าผลดี และนึกในใจอยากย้ำเตือนเรื่องการรับฟังผู้อื่น....แต่บรรยากาศยิ่งตึงขึ้นมาก
เพราะจริงๆแล้วพ่อคงรู้สึกไปถึงทุกๆ เรื่องที่ผ่านมา ลูกๆ เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวในการเรียนรู้มากขึ้นแล้ว เลยทบทวนกันเรื่องที่ผ่านมาและต่อไป พ่อคิดว่าพ่อเข้าใจ แต่ลึกๆไม่ทราบได้เพราะถ้าถามถึงตรงนี้คงกลายเป็นพ่อเข้าไปยุ่งตลอดหรือ
ถ้างั้น……
“โอเค
งั้น สำหรับ บ่อปลาดุก ดลอยากทำแบบไหนอย่างไร ได้เลย...พ่อไม่ยุ่ง”
“งั้น...ดลไม่ทำแล้ว”
“เฮ้ย...พี่ดล..ไม่ดีเลย....” ตัดพ้อ...แสดงความผิดหวัง
แต่พ่อฟังอยู่เงียบๆ บรรยากาศยิ่งตึงเครียดมาก
“เอา..ยังงั้นแน่ใช่มั้ย”
พ่อถามเพราะรู้ว่าเป็นอาการงอนแบบนี้อยู่บ่อย หรือคราวนี้...
“ดลไม่มีความสุข....ยิ่งให้เขียนบันทึกด้วยแล้ว....ไปไหนมาแล้วต้องเขียนบันทึกดลไม่มีความสุข
“ดลไม่ชอบเขียนบันทึก...”แดนและพ่อมองหน้ากัน
แต่ความรู้สึกของพ่อตอนนั้น
บอกไม่ถูก...... เหมือนความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่
“งั้น....หมายความว่า
บันทึกที่ผ่านมา ทั้งสามสี่เล่ม คือ ทุกข์ของดลเลยหรือ?”
“เออ.........พี่ดลนี่...แย่จริงๆ”
แดนสำทับ
ไม่มีคำตอบจากดล และความเงียบกำลังครอบคลุมเราสามคน
เพราะพ่อคิดว่าคงเป็นวาระสำคัญที่เราพ่อแม่ลูกสี่คนต้องคุยกันสำหรับเรื่องนี้
เราหยุดการสนทนากันระหว่างสามคนเพราะรู้ว่าคงต้องให้เวลาผ่อนคลายบรรยากาศสักพัก
พ่อให้ดลไปพักเสีย แต่แดนคุยกันต่อเรื่องที่แดนอยากจะทำ
จนถึงเวลาเลยเที่ยงไปหน่อย เราชวนกันไปกิน
ก๋วยเตี๋ยวหน้าบ้านแดนขออยู่กับแม่ ดลซ้อนท้ายจักรยานไปกับพ่อ ระหว่างกินก๋วยเตี๋ยว
เราคุยกันเรื่องสนุกสนานอื่นๆ จนรู้สึกว่าบรรยากาศโดยรวมเป็นปกติแล้ว พ่อเลยขอแย้มความในใจดลกันสองต่อสอง
“ดล....พ่อถามจริงๆ..เหอะ..ดลรู้สึกยังงั้นจริงๆหรือ...”
ผมขอถามแบบเปิดใจกับดล
“ไม่หรอกพ่อ....ดลโกรธพ่อ...ดลแค่พูดอยากให้พ่อเครียดบ้าง....”
ยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ดล...รู้สึกไม่ค่อยดี..”
คำพูดเปรยขึ้นมากลางความเงียบระหว่างเราสองคน
“ยังไงนะ...รู้สึกไม่ดี..เรื่องอะไร?” ผมถามด้วยความสงสัยว่าจะมีเรื่องอะไรโผล่ขึ้นมาจากภูเขาน้ำแข็งอีก
“ดลรู้สึกไม่ดีตรงที่ทุกอย่างมันมีที่สิ้นสุด”
“หา.....มันเป็นยังไงนะ..ที่สิ้นสุดที่ว่า”ผมถามให้แน่ใจว่าคำพูดที่ออกมาจากดลจริงๆ
“เวลานั่งดูปลาในตู้
และดลรู้ว่าต่อไปมันจะต้องตายไป แต่ละตัวมันมีที่สิ้นสุด
บางตัวตื่นเช้ามามันก็ตายแล้ว และคิดต่อไป....ทุกอย่างมันมีจุดสิ้นสุด ไม่มีอะไร
อยู่ตลอดไป ...”ดลเล่าด้วยเสียงเรียบๆหน้าตาเฉยเมย แต่ผมเองนั่งฟังหูผึ่ง
“
ใช่...ไม่มีอะไร จีรัง ยั่งยืน ถึงเวลาพ่อก็ตาย แม่ก็ตาย ลูกก็ตาย แดนก็ตาย ตายจากกันหมดลูก”ผมรีบยืนยันความจริงที่ดลสัมผัสได้
“ดลเลยรู้สึกว่า
จะทำอะไรไปทำไม...เลี้ยงปลา เลี้ยงหนอน เลี้ยงด้วง เขียนบันทึก ทำเครื่องร่อน
ทุกอย่างก็มีวันสิ้นสุด”
“ก็เพราะเหตุนี้ไง...เราถึงต้องไม่ปล่อยเวลาให้หลุดลอยไป
เราต้องสร้างสรรค์สิ่งต่างๆไว้ให้แบ่งปันกันให้เยอะๆก่อนจะถึงจุดนั้น”ผมแย้งเสริมให้ดล
และนึกเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ
“
ดลคงมีอะไรหลายอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ด้วยใช่ไหม? เช่น
เมื่อเล่นกับเพื่อนๆแล้วต้องแยกย้ายกันกลับ อย่างเช่นเมื่อวานที่หมู่บ้านเด็กใช่ไหม?”
ดลพยักหน้า...
“ความสนุกมันก็มีจุดสิ้นสุด”ดลสำทับ
“มันเป็นความสุขที่ได้เล่นกับเพื่อน
หมดครั้งนี้ก็มีครั้งหน้าอีกและมีเพื่อนใหม่สนุกไปแต่ละที่หลายๆแบบ แต่ดลรู้มั้ย ว่ามันมีความสุข ที่ได้มาหลังจากความไม่สนุกด้วยนะ
ถ้าเราค้นหาดูดีๆ ค่อยๆ คอยจับสังเกตตัวเราเองให้ดีๆ.......เพราะความสนุกกับความสุขมันอยู่คนละที่กัน แต่มันอยู่แนบชิดกันแทบจะทับซ้อนกันอยู่แนบเนียนมาก........”
﴾͡๏̯͡๏﴿ เรื่องราว บันทึกนี้
เพิ่งมาเจอเอาตอนที่กำลังรวบรวมข้อมูลประสบการณ์เรียนรู้เก่าๆทั้งหมดของลูกในวัยเด็กๆ เพราะขณะนี้กำลังก้าวเข้าสู่วันรุ่นแล้ว.....มาเตะตาเอาตรงชื่อ “จุดจบของดล” .........จึงขอเปลี่ยนชื่อใหม่ สำหรับวิธีคิดในเชิงบวก จุดบรรจบ เมื่อปมความคิดสำคัญหลายๆมิติมาบรรจบกัน มีบางสิ่งบางอย่างหายไป ว่างเปล่า คล้ายจุดบรรจบของสายตา Vanishing Point และสิ่งใหม่ๆกำลังจะเกิดขึ้น ให้เราเคลื่อนไปในสิ่งที่หายไป คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติครับ ﴾͡๏̯͡๏﴿
“A lesson is not learned unless something changed”
รู้สึกประทับใจมากครับพี่ เป็นบทสนทนาของลูกชายกับพ่อที่แสดงให้เห็นถึงความละเีอียดอ่อนของความสัมพันธ์ ยินดีด้วยกับความเข้าใจชีวิตอย่างที่เห็นตามจริงของดล เป็นอีกหนึ่งก้าวที่ทำให้คนเป็นพ่อแม่รู้สึกอุ่นใจ ลูกเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเสมอทั้งร่างกายและความคิด ขอบคุณที่แบ่งปันครับ
ตอบลบขอบคุณที่ร่วมแบ่งปันเช่นกันครับ....บางครั้งความละเอียดอ่อนซ่อนความแข็งกร้าวที่เราไม่ทันรู้ตัว.....﴾͡๏̯͡๏﴿
ตอบลบ