เริ่มต้นนับย้อนเวลาไปยังเด็กชายวัยขวบเศษ เมื่อเริ่มจับดินสอ ขึ้นมาขีดเขียน เป็นการบ่งบอกถึงการสนองตอบต่อความอยากรู้อยากเห็น หลังจากที่มีการใช้สมองที่ยื่นออกมาจากตัว(มือทั้งสอง)ได้ดีและชำนาญขึ้น เขาจะบรรจงสร้างร่องรอยหรือไม่ก็ตาม แต่ผลสำเร็จคือความพึงพอใจ เมื่อเขาสามารถสร้างร่องรอยขึ้นได้ด้วยตัวเองสำเร็จ และสามารถขยายขอบเขตการเรียนรู้ออกไปไม่มีที่สิ้นสุด หากสำนึกรู้และผลสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ(ทักษะ) เขาเริ่มลากเส้นตรงโดยเพิ่มขนาดความยาวขึ้นระหว่างจุดสองจุด และเส้นโค้งที่เกิดจากการค้นพบของเขาเอง(เมื่อเส้นตรงยังไม่สามรถตรงได้) ไปจนถึงความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่เขาสามารถบังคับเสันให้โค้งมากพอที่จะมาพบบรรจบกันเป็นวงกลม จิตสำนึกดั้งเดิมของเขาคิดเห็นอย่างไรไม่มีใครทราบได้ หรือจะเป็นความพยายามที่จะส่งต่อความหมายบางสิ่งบางอย่างที่เขาคุ้นเคย และเมื่อวงกลมมีรูปทรงเหมือนสิ่งต่างๆได้มากมาย การค้นพบเส้นที่บรรจบกัน ก่อเกิดรูปทรงแทนค่าสรรพสิ่ง เมื่อการเลียนแบบทุกสิ่งทุกอย่างที่พบเห็นเป็นความพึงพอใจ การถ่ายทอดร่องรอยอาจมีขอบเขตความหมายกว้างไกลเกินระบบภาษา(พูด ฟัง อ่าน เขียน) การเขียนของเด็กวัยแรกเริ่มจึงเต็มไปด้วยธรรมชาติ (การดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง)และร่องรอยเหล่านี้เองจะเป็นการเผยให้เห็นถึงความจริงแท้ที่ถูกซ่อนอยู่ในสรรพสิ่งนั้นๆด้วย
ธรรมชาติเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมที่มนุษย์มีอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งในโลกปรากฏการณ์ และสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังต่างหากที่มนุษย์ต่างมุ่งมั่นทุ่มเทค้นหาความจริง ด้วยความเชื่อที่ว่า ศิลปะเป็นสะพานเชื่อมโยงศาสตร์ต่างๆเข้าหากัน เป็นสติปัญญาทางธรรมชาติของเด็กวัยแรกเริ่มทุกคน และสติปัญญาดั้งเดิมนี้เองที่ชายวัยกลางคนพยายามค้นหาและบรรจงสร้างร่องรอยแห่งความรู้บนความไม่รู้ จากธรรมชาติบนธรรมชาติของธรรมชาติ ผ่านสายใยแห่งชีวิตพ่อลูก ที่จะไม่สามารถย้อนกลับช่วงเวลาที่มีคุณค่าเหล่านี้ไปได้
﴾͡๏̯͡๏﴿
..........................
..........................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น