วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ลมแล่นใบ Sailing
















ย้อนหลังไปประมาณ ยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ผมนึกถึงเพลงที่เคยชอบฟัง และนึกไปถึงการฟังของวันรุ่นในสมัยนั้นใส่ซาวน์อะเบาท์ติดหูอยุ่ตลอดเวลา จนบางครั้งต้องถูกคุณครูดุเพราะลืมถอดออกในเวลาเข้าเรียน...นึกถึงการฟังเพลงตอนเขียนรูป ทำงานศิลปะแบบปิดประตูตัวเองเข้าห้องชั้นใน...แบบไม่มีใครอยู่ในโลกนี้  นึกถึงการฟังกรอกหูตอนนอนที่หลับไปกับจินตนาการจากบทเพลง....สมัยนั้น...ไม่มีดนตรี..แบบเสียงนั่งฟังฝึกสมาธิ...มีให้ฟังมากนัก(หายาก) ........
ทำให้ผมนึกถึง เวลาโหนรถเมล์กลับบ้าน...เพลง
Sailing ที่ลำรึกถึง เป็นช่วงเวลาโหนรถเมล์ แล่นไปกับลมปะทะ และควันรถ ป้ายแล้วป้ายเล่าจนถึงบ้าน  แต่ดนตรีเสียงเพลงให้ความรู้สึกได้ถึง.......ทั้งๆที่ไม่ได้มีประสบการณ์การเล่นใบกับลมมาเลย แต่สัมผัสความรู้สึกๆได้ แค่เพียงรับรู้ถึง  ความรื่นรมในการเล่นเรือใบของพี่ Christopher Cross  ซึ่งแตกต่างไปจากน้า Rod Steward ที่พรรณนาไปถึงการแล่นเรือใบไปอีกแบบนึง  



























และเมื่อเวลาติดปีกรวดเร็วมาถึงเวลานี้  ผ่านมาแล้วประมาณยี่สิบกว่าปี ผมได้รับรู้ว่าการเล่นลมแล่นใบที่ผมสัมผัสได้.......คือกิเลสดีๆตัวหนึ่งที่ให้พลังชีวิตเราขับเคลื่อนไป......กลับมาสมดุลได้ส่วนหนึ่ง...ในช่วงเวลาขึ้นลงของชีวิต 
รู้สึกขอบคุณพี่ คริสโตเฟอร์  ที่แกสัมผัสสิ่งดีๆ และถ่ายทอดให้เรารับรู้ถึงความรู้สึกนั้นได้ แม้ไม่ต้องสัมผัส  

ยี่สิบกว่าปี....มาฟังเพลงนี้ อีกครั้ง....ผมยิ่งซาบซึ้ง...แบบว่า.....

ไม่มีใครรู้ได้ว่า...การแล่นใบท่ามกลางลมแรง....ทำให้ผมน้ำตาคลอ...รู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้พระเจ้ามากขึ้น.........


อยากแบ่งปันให้ลูกๆ ภรรยา เพื่อนๆ...พ่อแม่...ครับ

(ผมพยายามชวน ดลลูกชายที่โตพอที่จะดึงใบ ให้ขึ้นจากน้ำได้ ไปเล่น วินเซิอร์ฟ กัน เพราะจะรับรู้ได้แบบสัมผัสตัวมากกว่าเรือใบ แต่ก็ได้รับคำตอบว่า “ยังก่อนพ่อ ตอนนี้กลัวตกน้ำครับพ่อ” ) การรอเวลาให้มาถึงก็ตื่นเต้นดีครับ.....เด็กสองคน ดลกับแดนยังสนุกสนานกับการแล่นใบกับเรือ
walker bay อยู่....

 ลมแล่นใบ
ดีแล้ว...ที่สวรรค์ไม่ไช่ สำหรับฉัน
 แต่ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม แม้นเหมือนดินแดนที่ไม่เคยมีอยู่(จริง)

ไม่ต้องแสร้งว่าด้วยเหตุผลนานาๆ
สิ่งเพ้อฝัน ทำให้ฉันดั้นด้น และถ้าลมเป็นใจคุณสามารถรื่นรมย์สนุกสนานสู่ความบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง
หากจังหวะลมเป็นใจ คุณจะแล่นใบออกไปและพบกับความสงบนิ่ง การกลับคืนสู่สติ
หากผืนผ้าใบสามารถสร้างมหัศจรรย์ได้ฉันใด เพียงแค่รอคอยแล้วคุณจะสัมผัส  ฉันนั้น....


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.....

ไม่ไกลไปจากดินแดนไม่มีอยู่  ไม่ต้องมีเหตุผลที่จะเสแสร้งถึงจินตนาการ
หากผืนผ้าใบสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้ฉันใด เพียงแค่รอคอยแล้วจะมองเห็น....

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ


ลมแล่นใบ พาฉันออกไป...ที่ซึ่ง...เรามักจะรู้สึกว่าเคยได้ยินมาก่อน....

เพียงแค่ฝันถึง...สายลมพัดพาฉันไป
ไม่นาน...ฉันก็เป็นอิสระ......
ชั่วขณะที่ฉันแล่นใบ
เป็นประสบการณ์การสัมผัสในภวังค์ที่รับรู้ได้
ราวกับว่านั่งอยู่ท่ามกลางท่วงทำนองและถ้อยคำของดนตรี ซิมโฟนีขนาดใหญ่
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.....

ถ่ายทอดจากเพลง
Sailing : Christopher cross



ความรื่นรมณ์ ลมแล่นใบของแดนและดล กับ walker Bay ที่ศูนย์กีฬาทางน้ำ บึงหนองบอน
﴾͡๏̯͡๏﴿


วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

จุดจบหรือจุดบรรจบ (เก็บตก ๒๕๕๒)

ภาพถ่าย เสี้ยวเวลาที่มองไม่เห็น จุดเปลี่ยนเมื่อมีเหตุการณ์ดำเนินไป....﴾͡๏̯͡๏﴿


เช้าวันหนึ่งของช่วงเดือนพฤษภา ในวันที่ครึ้มฟ้า ครึ้มฝน บรรยากาศช่างดูขมุกขมัว ดลแดนงัวเงียขึ้นมาสายพอควรสำหรับวันนี้  คงเพราะกลับจากหมู่บ้านเด็กเมื่อคืน....กว่าจะได้เข้านอนก็ปาเข้าไป ห้าทุ่ม แล้ว....แต่สำหรับผมไม่ว่าบรรยากาศจะเป็นเช่นใด  หลังจัดการกับเรื่องตัวเองเรียบร้อย ความคิดในหัวสมองก็มีแต่เรื่องที่จะเดินหน้าต่อไปสำหรับวิถีเรียนรู้ของครอบครัว  วันนี้พ่อเรียกดลแดนกลับมาดูกระดานช่วยจำ เกี่ยวกับงานคั่งค้างและงานที่อยากจะทำ  แต่บรรยากาศวันนี้โดยเฉพาะดล ไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ เมื่อเราคุยกันถึงงานบันทึกคั่งค้างที่ถูกถามถึง  นกที่กรุงชิงและแมลงที่เกาะช้าง  ซึ่งรู้สึกว่าจะไม่ได้คำตอบเสียด้วยเพราะเกินเวลามามากแล้ว   เราทบทวนทำความเข้าใจและย้ำเตือนเสมอถึงความรับผิดชอบและเมื่อบรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้น  พ่อเปลี่ยนเป็นเรื่องที่อยากจะทำ ดลอยากขุดบ่อดินเลี้ยงปลาดุก พ่อโอเค...ตกลง  แต่ต้องสอบถามรายละเอียดในหลายเรื่องมากขึ้น สุดท้ายบรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมาอีก 
                ทำไมพ่อต้องเข้ามายุ่ง ดลอยากทำอะไรเอง ลองผิดลองถูกอะไรเอง อย่างพ่อ...พ่อเคยทำมาแล้วอันไหนได้ไม่ได้พ่อก็รู้มาแล้ว แต่ดลอยากลองเองรู้เอง ดลอยากทำอะไรเองแบบที่พ่อไม่ยุ่งเลย”  ผมฟังแล้วคิดแต่ในใจรู้ว่า ดลต้องการอะไรในเด็กวัยย่างเข้าสิบเอ็ดแล้ว  เพราะบางครั้งที่เราเข้าไปแทรกแซงหรือเตือนไว้ก่อน ก็คงเป็นเรื่องอันตรายจากอุบัติเหตุหรือข้อผิดพลาดที่ส่งผลเสียมากกว่าผลดี  และนึกในใจอยากย้ำเตือนเรื่องการรับฟังผู้อื่น....แต่บรรยากาศยิ่งตึงขึ้นมาก เพราะจริงๆแล้วพ่อคงรู้สึกไปถึงทุกๆ เรื่องที่ผ่านมา ลูกๆ  เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวในการเรียนรู้มากขึ้นแล้ว  เลยทบทวนกันเรื่องที่ผ่านมาและต่อไป  พ่อคิดว่าพ่อเข้าใจ  แต่ลึกๆไม่ทราบได้เพราะถ้าถามถึงตรงนี้คงกลายเป็นพ่อเข้าไปยุ่งตลอดหรือ ถ้างั้น……
                โอเค งั้น สำหรับ บ่อปลาดุก ดลอยากทำแบบไหนอย่างไร ได้เลย...พ่อไม่ยุ่ง
            “งั้น...ดลไม่ทำแล้ว
            “เฮ้ย...พี่ดล..ไม่ดีเลย....” ตัดพ้อ...แสดงความผิดหวัง แต่พ่อฟังอยู่เงียบๆ บรรยากาศยิ่งตึงเครียดมาก
                เอา..ยังงั้นแน่ใช่มั้ย พ่อถามเพราะรู้ว่าเป็นอาการงอนแบบนี้อยู่บ่อย หรือคราวนี้...
                ดลไม่มีความสุข....ยิ่งให้เขียนบันทึกด้วยแล้ว....ไปไหนมาแล้วต้องเขียนบันทึกดลไม่มีความสุข
ดลไม่ชอบเขียนบันทึก...แดนและพ่อมองหน้ากัน
แต่ความรู้สึกของพ่อตอนนั้น บอกไม่ถูก...... เหมือนความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่
งั้น....หมายความว่า บันทึกที่ผ่านมา ทั้งสามสี่เล่ม คือ ทุกข์ของดลเลยหรือ?
เออ.........พี่ดลนี่...แย่จริงๆ แดนสำทับ
ไม่มีคำตอบจากดล  และความเงียบกำลังครอบคลุมเราสามคน เพราะพ่อคิดว่าคงเป็นวาระสำคัญที่เราพ่อแม่ลูกสี่คนต้องคุยกันสำหรับเรื่องนี้
            เราหยุดการสนทนากันระหว่างสามคนเพราะรู้ว่าคงต้องให้เวลาผ่อนคลายบรรยากาศสักพัก พ่อให้ดลไปพักเสีย   แต่แดนคุยกันต่อเรื่องที่แดนอยากจะทำ จนถึงเวลาเลยเที่ยงไปหน่อย  เราชวนกันไปกิน ก๋วยเตี๋ยวหน้าบ้านแดนขออยู่กับแม่   ดลซ้อนท้ายจักรยานไปกับพ่อ ระหว่างกินก๋วยเตี๋ยว เราคุยกันเรื่องสนุกสนานอื่นๆ จนรู้สึกว่าบรรยากาศโดยรวมเป็นปกติแล้ว พ่อเลยขอแย้มความในใจดลกันสองต่อสอง
                ดล....พ่อถามจริงๆ..เหอะ..ดลรู้สึกยังงั้นจริงๆหรือ... ผมขอถามแบบเปิดใจกับดล
                ไม่หรอกพ่อ....ดลโกรธพ่อ...ดลแค่พูดอยากให้พ่อเครียดบ้าง.... ยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
                ดล...รู้สึกไม่ค่อยดี.. คำพูดเปรยขึ้นมากลางความเงียบระหว่างเราสองคน
                ยังไงนะ...รู้สึกไม่ดี..เรื่องอะไร?” ผมถามด้วยความสงสัยว่าจะมีเรื่องอะไรโผล่ขึ้นมาจากภูเขาน้ำแข็งอีก
                ดลรู้สึกไม่ดีตรงที่ทุกอย่างมันมีที่สิ้นสุด
                หา.....มันเป็นยังไงนะ..ที่สิ้นสุดที่ว่าผมถามให้แน่ใจว่าคำพูดที่ออกมาจากดลจริงๆ
                เวลานั่งดูปลาในตู้ และดลรู้ว่าต่อไปมันจะต้องตายไป แต่ละตัวมันมีที่สิ้นสุด บางตัวตื่นเช้ามามันก็ตายแล้ว และคิดต่อไป....ทุกอย่างมันมีจุดสิ้นสุด ไม่มีอะไร อยู่ตลอดไป ...ดลเล่าด้วยเสียงเรียบๆหน้าตาเฉยเมย  แต่ผมเองนั่งฟังหูผึ่ง
                ใช่...ไม่มีอะไร จีรัง ยั่งยืน ถึงเวลาพ่อก็ตาย แม่ก็ตาย ลูกก็ตาย แดนก็ตาย  ตายจากกันหมดลูกผมรีบยืนยันความจริงที่ดลสัมผัสได้
                ดลเลยรู้สึกว่า จะทำอะไรไปทำไม...เลี้ยงปลา เลี้ยงหนอน เลี้ยงด้วง เขียนบันทึก ทำเครื่องร่อน ทุกอย่างก็มีวันสิ้นสุด
                ก็เพราะเหตุนี้ไง...เราถึงต้องไม่ปล่อยเวลาให้หลุดลอยไป เราต้องสร้างสรรค์สิ่งต่างๆไว้ให้แบ่งปันกันให้เยอะๆก่อนจะถึงจุดนั้นผมแย้งเสริมให้ดล และนึกเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ
                ดลคงมีอะไรหลายอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ด้วยใช่ไหม?  เช่น เมื่อเล่นกับเพื่อนๆแล้วต้องแยกย้ายกันกลับ อย่างเช่นเมื่อวานที่หมู่บ้านเด็กใช่ไหม? ดลพยักหน้า...
                ความสนุกมันก็มีจุดสิ้นสุดดลสำทับ
                มันเป็นความสุขที่ได้เล่นกับเพื่อน หมดครั้งนี้ก็มีครั้งหน้าอีกและมีเพื่อนใหม่สนุกไปแต่ละที่หลายๆแบบ  แต่ดลรู้มั้ย ว่ามันมีความสุข ที่ได้มาหลังจากความไม่สนุกด้วยนะ ถ้าเราค้นหาดูดีๆ ค่อยๆ คอยจับสังเกตตัวเราเองให้ดีๆ.......เพราะความสนุกกับความสุขมันอยู่คนละที่กัน แต่มันอยู่แนบชิดกันแทบจะทับซ้อนกันอยู่แนบเนียนมาก........

﴾͡๏̯͡๏﴿ เรื่องราว บันทึกนี้ เพิ่งมาเจอเอาตอนที่กำลังรวบรวมข้อมูลประสบการณ์เรียนรู้เก่าๆทั้งหมดของลูกในวัยเด็กๆ เพราะขณะนี้กำลังก้าวเข้าสู่วันรุ่นแล้ว.....มาเตะตาเอาตรงชื่อ จุดจบของดล .........จึงขอเปลี่ยนชื่อใหม่ สำหรับวิธีคิดในเชิงบวก  จุดบรรจบ เมื่อปมความคิดสำคัญหลายๆมิติมาบรรจบกัน มีบางสิ่งบางอย่างหายไป ว่างเปล่า คล้ายจุดบรรจบของสายตา Vanishing Point และสิ่งใหม่ๆกำลังจะเกิดขึ้น ให้เราเคลื่อนไปในสิ่งที่หายไป คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติครับ ﴾͡๏̯͡๏﴿

“A lesson is not learned unless something changed”

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ก้นบึ้ง ร่องรอย..ควบกล้ำ ๒๕๔๗


       เริ่มต้นนับย้อนเวลาไปยังเด็กชายวัยขวบเศษ เมื่อเริ่มจับดินสอ ขึ้นมาขีดเขียน เป็นการบ่งบอกถึงการสนองตอบต่อความอยากรู้อยากเห็น หลังจากที่มีการใช้สมองที่ยื่นออกมาจากตัว(มือทั้งสอง)ได้ดีและชำนาญขึ้น เขาจะบรรจงสร้างร่องรอยหรือไม่ก็ตาม แต่ผลสำเร็จคือความพึงพอใจ เมื่อเขาสามารถสร้างร่องรอยขึ้นได้ด้วยตัวเองสำเร็จ และสามารถขยายขอบเขตการเรียนรู้ออกไปไม่มีที่สิ้นสุด หากสำนึกรู้และผลสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ(ทักษะ) เขาเริ่มลากเส้นตรงโดยเพิ่มขนาดความยาวขึ้นระหว่างจุดสองจุด และเส้นโค้งที่เกิดจากการค้นพบของเขาเอง(เมื่อเส้นตรงยังไม่สามรถตรงได้) ไปจนถึงความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่เขาสามารถบังคับเสันให้โค้งมากพอที่จะมาพบบรรจบกันเป็นวงกลม จิตสำนึกดั้งเดิมของเขาคิดเห็นอย่างไรไม่มีใครทราบได้ หรือจะเป็นความพยายามที่จะส่งต่อความหมายบางสิ่งบางอย่างที่เขาคุ้นเคย และเมื่อวงกลมมีรูปทรงเหมือนสิ่งต่างๆได้มากมาย การค้นพบเส้นที่บรรจบกัน ก่อเกิดรูปทรงแทนค่าสรรพสิ่ง เมื่อการเลียนแบบทุกสิ่งทุกอย่างที่พบเห็นเป็นความพึงพอใจ การถ่ายทอดร่องรอยอาจมีขอบเขตความหมายกว้างไกลเกินระบบภาษา(พูด ฟัง อ่าน เขียน) การเขียนของเด็กวัยแรกเริ่มจึงเต็มไปด้วยธรรมชาติ (การดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง)และร่องรอยเหล่านี้เองจะเป็นการเผยให้เห็นถึงความจริงแท้ที่ถูกซ่อนอยู่ในสรรพสิ่งนั้นๆด้วย
       ตรงประเด็นนี้เองที่เป็นแรงบันดาลใจ ในการทำงานศิลปะร่วมกันระหว่างพ่อลูก ที่มีธรรมชาติเป็นแกนหลักร่วมกัน และด้วยกระบวนการศิลปะนี้เองจะเป็นตัวเชื่อมต่อสรรพสิ่งเข้ารวมกัน เพื่อพยายามเผยให้เห็นถึงความงามแห่งภาวะความจริงแท้ว่างดงามเช่นไร ผลลัพธ์แห่งการเรียนรู้และพัฒนาการที่ถ่ายทอดไว้ให้ซึ่งกันและกัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 จนถึงปี พ.ศ. 2547 มีวาระทั้งแตกต่าง คล้องจอง และเชื่อมโยงสัมพันธ์ในสรรพสิ่งเดียวกัน จากความเรียบง่ายไปสู่รูปสัญญะที่ซับซ้อนและมีภาวะจำลองมากขึ้น (เลียนแบบพ่อ) และจากความซับซ้อนแห่งรูปสัญญะกลับลงไปหาความเรียบง่าย (เลียนแบบลูก) เปรียบเหมือนการเรียนรู้ที่ต่างวาระในพื้นที่เดียวกันที่ต้องการดุลยภาพมาหล่อเลี้ยง สติปัญญาแห่งธรรมชาติอันดำรงอยู่นิรันดร์ จักฝังตัวอยู่ในเบื้องลึกถึงจิตใต้สํานึก ของเมล็ดพันธ์แห่งอนาคต ได้ไม่มากก็น้อย
         ธรรมชาติเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมที่มนุษย์มีอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งในโลกปรากฏการณ์ และสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังต่างหากที่มนุษย์ต่างมุ่งมั่นทุ่มเทค้นหาความจริง ด้วยความเชื่อที่ว่า ศิลปะเป็นสะพานเชื่อมโยงศาสตร์ต่างๆเข้าหากัน เป็นสติปัญญาทางธรรมชาติของเด็กวัยแรกเริ่มทุกคน และสติปัญญาดั้งเดิมนี้เองที่ชายวัยกลางคนพยายามค้นหาและบรรจงสร้างร่องรอยแห่งความรู้บนความไม่รู้ จากธรรมชาติบนธรรมชาติของธรรมชาติ ผ่านสายใยแห่งชีวิตพ่อลูก ที่จะไม่สามารถย้อนกลับช่วงเวลาที่มีคุณค่าเหล่านี้ไปได้

﴾͡๏̯͡๏﴿
..........................