วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ศิลปะเข้าใจได้...ง่ายกว่าที่คิด


ความหมายคำจำกัดความของคำว่า ”ศิลปะ” กว้างไกล ลึก ซับซ้อน จนบางครั้ง สับสน การตีความในแต่ละยุคสมัยเปลี่ยนแปลงเสมอ  ผมฟันธงว่าอย่าไปสนใจ ให้สนใจกับสิ่งที่เราสัมผัสถึงและเข้าใจ
รับรู้ได้......สิ่งไหนยังพร่ามัวอยู่ก็ค่อยๆ เรียนรู้ทำความเข้าใจไป เพราะการรับรู้ภายใต้จิตที่ควบคุมวีธีคิดของเรา มีข้อจำกัดภายใต้เวลาที่มีประสบการณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง  ดังคำกล่าวที่ว่า “การรับรู้เดินตามหลังประสบการณ์เสมอ” 




หลายคนที่มีทัศนคติติดลบต่อ ศิลปะ ก็จะส่งทอดวิธีคิดติดลบนี้ไปสู่ลูกหลาน เป็นข้อจำกัดประการหนึ่งสำหรับความเข้าใจต่อการรับรู้ทางด้านศิลปะโดยเฉพาะ การมองเห็นและจะส่งผลไปสู่การเรียนรู้ที่ขาด มิติในเชิงสร้างสรรค์

 

 มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับทักษะทางด้านศิลปะ การมองเห็นการตีความ การอ่านความหมายจากร่องรอยนั้น บรรจงสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นโลกใบหนึ่งในสมองแห่งการรับรู้  เต็มไปด้วยสัญญาณที่ส่งผ่านไปถึงความรู้สึกนึกคิด ตั้งแต่ระดับพื้นฐานสัญชาตญาณอย่างหยาบๆ ไปจนถึงระดับจิตละเอียดอ่อน  ศิลปะจึงเป็นวิถีหรือช่องทางในการสื่อสารของระบบชีวิตที่เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ ยกระดับ อย่างน้อยที่สุดต้องด้วยความพึงพอใจ




           
 เราเริ่มต้นกิจกรรมศิลปะ ให้รับรู้ถึงการถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นภาพผ่านร่องรอยความหมายด้วยปลายฝีแปรงพู่กัน เดินตามความคิดของเราให้เป็นภาพ  กิจกรรมอุ่นเครื่องด้วยเส้นสายปลายพู่กัน  กันก่อน



ต่อด้วย การถ่ายทอดร่องรอยจากภาษาคำ  ปัญหาที่มิใช่ปัญหาหากเราเขียนทุกสิ่งทุกอย่างถ่ายทอดออกมาเป็นภาพเท่าที่เราจะให้ความหมายกับร่องรอยเหล่านั้นได้  มด ควาย ป่า ไก่ ความสะใจ โลมา กระต่าย จินตนาการ ความหอม  คำความหมายที่สุ่มขึ้นมาเราสามารถถ่ายทอดร่องรอยออกมาได้แบบไร้กังวลแบบดั้งเดิม ปัญหาของการวาดภาพแบบดั้งเดิมจะถูกแทนที่ด้วยตัวแทนความหมายที่เรารู้จัก แม้ว่าจะพร่ามัวหรือชัดเจนก็ตาม แต่ก็คือร่องรอยที่เรารู้จักจากภายในสามารถถ่ายทอดออกมาได้

 


เด็กกับผู้ใหญ่ วุฒิภาวะทางด้านศิลปะต่างกันมั้ย...พอเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่อะไรคือกรอบคิดของจินตนาการ ...........เมื่อเปรียบเทียบกับความเป็นเด็ก วัยแห่งการพบปะสิ่งมหัศจรรย์ 





การสร้างความคิดมิใช่คิดสร้างบนแผ่นกระดาษกรอบสี่เหลี่ยม เราคิดจากจิตที่มีประสบการณ์เป็นตัวกระตุ้นผ่านสมองในหลายๆมิติของเวลาที่ทับซ้อนกัน ที่เราเรียกว่าจินตนาการ เป็นภาพทั้งที่ทรงจำและลืมเลือน หากก้าวข้ามการคิดบนแผ่นกระดาษได้ การวาดภาพถ่ายทอดร่องรอยของเราก็จะไร้กังวลได้มากขึ้น 


 

      จินตนาการที่พรั่งพรู มีตัวเลือกมากมาย จากรอยประทับสำคัญ ทั้งด้านบวกและด้านลบ ลองย้อนถามจิตตัวเองดู อะไรบ้างที่เราไม่สามารถลืมเลือนไปได้ และอะไรที่เรามักหลงลืม  ความทรงจำหรือภาพจินตนาการ อาจมิได้อยู่ ณ.เวลาเดียวกัน...หากเราได้ไล่เรียงประสบการณ์ความสุขออกมาเป็นภาพแต่ละภาพ




ภาพแห่งความสุขที่พรั่งพรูขึ้นอยู่พลังของจินตนาการคิดเห็นเป็นภาพได้มากน้อยแค่ไหน  ความสุขที่ต้องสร้างและถ่ายทอดออกไป ขั้นตอนเรียบเรียงความสุข ผนึกความสุขใส่สี่เหลี่ยม ความสุขมีหลายขั้นลำดับ  จนถึงความสุขสุดท้ายสุดยอดเมื่อถูกแต่งแต้มสีสัน  เมื่อไหร่จะเสร็จ กับเสร็จแล้วเหรอ? คือความสุขเดียวกันที่ขาดจากกันไม่ได้   ความสุขที่ทุกคนได้รับและชื่นชม 
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าสิบมือทำ
..........ศิลปะเข้าใจยากขึ้นบ้างหรือยัง.....?


วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ลมแล่นใบ Sailing
















ย้อนหลังไปประมาณ ยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ผมนึกถึงเพลงที่เคยชอบฟัง และนึกไปถึงการฟังของวันรุ่นในสมัยนั้นใส่ซาวน์อะเบาท์ติดหูอยุ่ตลอดเวลา จนบางครั้งต้องถูกคุณครูดุเพราะลืมถอดออกในเวลาเข้าเรียน...นึกถึงการฟังเพลงตอนเขียนรูป ทำงานศิลปะแบบปิดประตูตัวเองเข้าห้องชั้นใน...แบบไม่มีใครอยู่ในโลกนี้  นึกถึงการฟังกรอกหูตอนนอนที่หลับไปกับจินตนาการจากบทเพลง....สมัยนั้น...ไม่มีดนตรี..แบบเสียงนั่งฟังฝึกสมาธิ...มีให้ฟังมากนัก(หายาก) ........
ทำให้ผมนึกถึง เวลาโหนรถเมล์กลับบ้าน...เพลง
Sailing ที่ลำรึกถึง เป็นช่วงเวลาโหนรถเมล์ แล่นไปกับลมปะทะ และควันรถ ป้ายแล้วป้ายเล่าจนถึงบ้าน  แต่ดนตรีเสียงเพลงให้ความรู้สึกได้ถึง.......ทั้งๆที่ไม่ได้มีประสบการณ์การเล่นใบกับลมมาเลย แต่สัมผัสความรู้สึกๆได้ แค่เพียงรับรู้ถึง  ความรื่นรมในการเล่นเรือใบของพี่ Christopher Cross  ซึ่งแตกต่างไปจากน้า Rod Steward ที่พรรณนาไปถึงการแล่นเรือใบไปอีกแบบนึง  



























และเมื่อเวลาติดปีกรวดเร็วมาถึงเวลานี้  ผ่านมาแล้วประมาณยี่สิบกว่าปี ผมได้รับรู้ว่าการเล่นลมแล่นใบที่ผมสัมผัสได้.......คือกิเลสดีๆตัวหนึ่งที่ให้พลังชีวิตเราขับเคลื่อนไป......กลับมาสมดุลได้ส่วนหนึ่ง...ในช่วงเวลาขึ้นลงของชีวิต 
รู้สึกขอบคุณพี่ คริสโตเฟอร์  ที่แกสัมผัสสิ่งดีๆ และถ่ายทอดให้เรารับรู้ถึงความรู้สึกนั้นได้ แม้ไม่ต้องสัมผัส  

ยี่สิบกว่าปี....มาฟังเพลงนี้ อีกครั้ง....ผมยิ่งซาบซึ้ง...แบบว่า.....

ไม่มีใครรู้ได้ว่า...การแล่นใบท่ามกลางลมแรง....ทำให้ผมน้ำตาคลอ...รู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้พระเจ้ามากขึ้น.........


อยากแบ่งปันให้ลูกๆ ภรรยา เพื่อนๆ...พ่อแม่...ครับ

(ผมพยายามชวน ดลลูกชายที่โตพอที่จะดึงใบ ให้ขึ้นจากน้ำได้ ไปเล่น วินเซิอร์ฟ กัน เพราะจะรับรู้ได้แบบสัมผัสตัวมากกว่าเรือใบ แต่ก็ได้รับคำตอบว่า “ยังก่อนพ่อ ตอนนี้กลัวตกน้ำครับพ่อ” ) การรอเวลาให้มาถึงก็ตื่นเต้นดีครับ.....เด็กสองคน ดลกับแดนยังสนุกสนานกับการแล่นใบกับเรือ
walker bay อยู่....

 ลมแล่นใบ
ดีแล้ว...ที่สวรรค์ไม่ไช่ สำหรับฉัน
 แต่ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม แม้นเหมือนดินแดนที่ไม่เคยมีอยู่(จริง)

ไม่ต้องแสร้งว่าด้วยเหตุผลนานาๆ
สิ่งเพ้อฝัน ทำให้ฉันดั้นด้น และถ้าลมเป็นใจคุณสามารถรื่นรมย์สนุกสนานสู่ความบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง
หากจังหวะลมเป็นใจ คุณจะแล่นใบออกไปและพบกับความสงบนิ่ง การกลับคืนสู่สติ
หากผืนผ้าใบสามารถสร้างมหัศจรรย์ได้ฉันใด เพียงแค่รอคอยแล้วคุณจะสัมผัส  ฉันนั้น....


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.....

ไม่ไกลไปจากดินแดนไม่มีอยู่  ไม่ต้องมีเหตุผลที่จะเสแสร้งถึงจินตนาการ
หากผืนผ้าใบสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้ฉันใด เพียงแค่รอคอยแล้วจะมองเห็น....

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ


ลมแล่นใบ พาฉันออกไป...ที่ซึ่ง...เรามักจะรู้สึกว่าเคยได้ยินมาก่อน....

เพียงแค่ฝันถึง...สายลมพัดพาฉันไป
ไม่นาน...ฉันก็เป็นอิสระ......
ชั่วขณะที่ฉันแล่นใบ
เป็นประสบการณ์การสัมผัสในภวังค์ที่รับรู้ได้
ราวกับว่านั่งอยู่ท่ามกลางท่วงทำนองและถ้อยคำของดนตรี ซิมโฟนีขนาดใหญ่
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.....

ถ่ายทอดจากเพลง
Sailing : Christopher cross



ความรื่นรมณ์ ลมแล่นใบของแดนและดล กับ walker Bay ที่ศูนย์กีฬาทางน้ำ บึงหนองบอน
﴾͡๏̯͡๏﴿


วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

จุดจบหรือจุดบรรจบ (เก็บตก ๒๕๕๒)

ภาพถ่าย เสี้ยวเวลาที่มองไม่เห็น จุดเปลี่ยนเมื่อมีเหตุการณ์ดำเนินไป....﴾͡๏̯͡๏﴿


เช้าวันหนึ่งของช่วงเดือนพฤษภา ในวันที่ครึ้มฟ้า ครึ้มฝน บรรยากาศช่างดูขมุกขมัว ดลแดนงัวเงียขึ้นมาสายพอควรสำหรับวันนี้  คงเพราะกลับจากหมู่บ้านเด็กเมื่อคืน....กว่าจะได้เข้านอนก็ปาเข้าไป ห้าทุ่ม แล้ว....แต่สำหรับผมไม่ว่าบรรยากาศจะเป็นเช่นใด  หลังจัดการกับเรื่องตัวเองเรียบร้อย ความคิดในหัวสมองก็มีแต่เรื่องที่จะเดินหน้าต่อไปสำหรับวิถีเรียนรู้ของครอบครัว  วันนี้พ่อเรียกดลแดนกลับมาดูกระดานช่วยจำ เกี่ยวกับงานคั่งค้างและงานที่อยากจะทำ  แต่บรรยากาศวันนี้โดยเฉพาะดล ไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ เมื่อเราคุยกันถึงงานบันทึกคั่งค้างที่ถูกถามถึง  นกที่กรุงชิงและแมลงที่เกาะช้าง  ซึ่งรู้สึกว่าจะไม่ได้คำตอบเสียด้วยเพราะเกินเวลามามากแล้ว   เราทบทวนทำความเข้าใจและย้ำเตือนเสมอถึงความรับผิดชอบและเมื่อบรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้น  พ่อเปลี่ยนเป็นเรื่องที่อยากจะทำ ดลอยากขุดบ่อดินเลี้ยงปลาดุก พ่อโอเค...ตกลง  แต่ต้องสอบถามรายละเอียดในหลายเรื่องมากขึ้น สุดท้ายบรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมาอีก 
                ทำไมพ่อต้องเข้ามายุ่ง ดลอยากทำอะไรเอง ลองผิดลองถูกอะไรเอง อย่างพ่อ...พ่อเคยทำมาแล้วอันไหนได้ไม่ได้พ่อก็รู้มาแล้ว แต่ดลอยากลองเองรู้เอง ดลอยากทำอะไรเองแบบที่พ่อไม่ยุ่งเลย”  ผมฟังแล้วคิดแต่ในใจรู้ว่า ดลต้องการอะไรในเด็กวัยย่างเข้าสิบเอ็ดแล้ว  เพราะบางครั้งที่เราเข้าไปแทรกแซงหรือเตือนไว้ก่อน ก็คงเป็นเรื่องอันตรายจากอุบัติเหตุหรือข้อผิดพลาดที่ส่งผลเสียมากกว่าผลดี  และนึกในใจอยากย้ำเตือนเรื่องการรับฟังผู้อื่น....แต่บรรยากาศยิ่งตึงขึ้นมาก เพราะจริงๆแล้วพ่อคงรู้สึกไปถึงทุกๆ เรื่องที่ผ่านมา ลูกๆ  เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวในการเรียนรู้มากขึ้นแล้ว  เลยทบทวนกันเรื่องที่ผ่านมาและต่อไป  พ่อคิดว่าพ่อเข้าใจ  แต่ลึกๆไม่ทราบได้เพราะถ้าถามถึงตรงนี้คงกลายเป็นพ่อเข้าไปยุ่งตลอดหรือ ถ้างั้น……
                โอเค งั้น สำหรับ บ่อปลาดุก ดลอยากทำแบบไหนอย่างไร ได้เลย...พ่อไม่ยุ่ง
            “งั้น...ดลไม่ทำแล้ว
            “เฮ้ย...พี่ดล..ไม่ดีเลย....” ตัดพ้อ...แสดงความผิดหวัง แต่พ่อฟังอยู่เงียบๆ บรรยากาศยิ่งตึงเครียดมาก
                เอา..ยังงั้นแน่ใช่มั้ย พ่อถามเพราะรู้ว่าเป็นอาการงอนแบบนี้อยู่บ่อย หรือคราวนี้...
                ดลไม่มีความสุข....ยิ่งให้เขียนบันทึกด้วยแล้ว....ไปไหนมาแล้วต้องเขียนบันทึกดลไม่มีความสุข
ดลไม่ชอบเขียนบันทึก...แดนและพ่อมองหน้ากัน
แต่ความรู้สึกของพ่อตอนนั้น บอกไม่ถูก...... เหมือนความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่
งั้น....หมายความว่า บันทึกที่ผ่านมา ทั้งสามสี่เล่ม คือ ทุกข์ของดลเลยหรือ?
เออ.........พี่ดลนี่...แย่จริงๆ แดนสำทับ
ไม่มีคำตอบจากดล  และความเงียบกำลังครอบคลุมเราสามคน เพราะพ่อคิดว่าคงเป็นวาระสำคัญที่เราพ่อแม่ลูกสี่คนต้องคุยกันสำหรับเรื่องนี้
            เราหยุดการสนทนากันระหว่างสามคนเพราะรู้ว่าคงต้องให้เวลาผ่อนคลายบรรยากาศสักพัก พ่อให้ดลไปพักเสีย   แต่แดนคุยกันต่อเรื่องที่แดนอยากจะทำ จนถึงเวลาเลยเที่ยงไปหน่อย  เราชวนกันไปกิน ก๋วยเตี๋ยวหน้าบ้านแดนขออยู่กับแม่   ดลซ้อนท้ายจักรยานไปกับพ่อ ระหว่างกินก๋วยเตี๋ยว เราคุยกันเรื่องสนุกสนานอื่นๆ จนรู้สึกว่าบรรยากาศโดยรวมเป็นปกติแล้ว พ่อเลยขอแย้มความในใจดลกันสองต่อสอง
                ดล....พ่อถามจริงๆ..เหอะ..ดลรู้สึกยังงั้นจริงๆหรือ... ผมขอถามแบบเปิดใจกับดล
                ไม่หรอกพ่อ....ดลโกรธพ่อ...ดลแค่พูดอยากให้พ่อเครียดบ้าง.... ยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
                ดล...รู้สึกไม่ค่อยดี.. คำพูดเปรยขึ้นมากลางความเงียบระหว่างเราสองคน
                ยังไงนะ...รู้สึกไม่ดี..เรื่องอะไร?” ผมถามด้วยความสงสัยว่าจะมีเรื่องอะไรโผล่ขึ้นมาจากภูเขาน้ำแข็งอีก
                ดลรู้สึกไม่ดีตรงที่ทุกอย่างมันมีที่สิ้นสุด
                หา.....มันเป็นยังไงนะ..ที่สิ้นสุดที่ว่าผมถามให้แน่ใจว่าคำพูดที่ออกมาจากดลจริงๆ
                เวลานั่งดูปลาในตู้ และดลรู้ว่าต่อไปมันจะต้องตายไป แต่ละตัวมันมีที่สิ้นสุด บางตัวตื่นเช้ามามันก็ตายแล้ว และคิดต่อไป....ทุกอย่างมันมีจุดสิ้นสุด ไม่มีอะไร อยู่ตลอดไป ...ดลเล่าด้วยเสียงเรียบๆหน้าตาเฉยเมย  แต่ผมเองนั่งฟังหูผึ่ง
                ใช่...ไม่มีอะไร จีรัง ยั่งยืน ถึงเวลาพ่อก็ตาย แม่ก็ตาย ลูกก็ตาย แดนก็ตาย  ตายจากกันหมดลูกผมรีบยืนยันความจริงที่ดลสัมผัสได้
                ดลเลยรู้สึกว่า จะทำอะไรไปทำไม...เลี้ยงปลา เลี้ยงหนอน เลี้ยงด้วง เขียนบันทึก ทำเครื่องร่อน ทุกอย่างก็มีวันสิ้นสุด
                ก็เพราะเหตุนี้ไง...เราถึงต้องไม่ปล่อยเวลาให้หลุดลอยไป เราต้องสร้างสรรค์สิ่งต่างๆไว้ให้แบ่งปันกันให้เยอะๆก่อนจะถึงจุดนั้นผมแย้งเสริมให้ดล และนึกเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ
                ดลคงมีอะไรหลายอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ด้วยใช่ไหม?  เช่น เมื่อเล่นกับเพื่อนๆแล้วต้องแยกย้ายกันกลับ อย่างเช่นเมื่อวานที่หมู่บ้านเด็กใช่ไหม? ดลพยักหน้า...
                ความสนุกมันก็มีจุดสิ้นสุดดลสำทับ
                มันเป็นความสุขที่ได้เล่นกับเพื่อน หมดครั้งนี้ก็มีครั้งหน้าอีกและมีเพื่อนใหม่สนุกไปแต่ละที่หลายๆแบบ  แต่ดลรู้มั้ย ว่ามันมีความสุข ที่ได้มาหลังจากความไม่สนุกด้วยนะ ถ้าเราค้นหาดูดีๆ ค่อยๆ คอยจับสังเกตตัวเราเองให้ดีๆ.......เพราะความสนุกกับความสุขมันอยู่คนละที่กัน แต่มันอยู่แนบชิดกันแทบจะทับซ้อนกันอยู่แนบเนียนมาก........

﴾͡๏̯͡๏﴿ เรื่องราว บันทึกนี้ เพิ่งมาเจอเอาตอนที่กำลังรวบรวมข้อมูลประสบการณ์เรียนรู้เก่าๆทั้งหมดของลูกในวัยเด็กๆ เพราะขณะนี้กำลังก้าวเข้าสู่วันรุ่นแล้ว.....มาเตะตาเอาตรงชื่อ จุดจบของดล .........จึงขอเปลี่ยนชื่อใหม่ สำหรับวิธีคิดในเชิงบวก  จุดบรรจบ เมื่อปมความคิดสำคัญหลายๆมิติมาบรรจบกัน มีบางสิ่งบางอย่างหายไป ว่างเปล่า คล้ายจุดบรรจบของสายตา Vanishing Point และสิ่งใหม่ๆกำลังจะเกิดขึ้น ให้เราเคลื่อนไปในสิ่งที่หายไป คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติครับ ﴾͡๏̯͡๏﴿

“A lesson is not learned unless something changed”

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ก้นบึ้ง ร่องรอย..ควบกล้ำ ๒๕๔๗


       เริ่มต้นนับย้อนเวลาไปยังเด็กชายวัยขวบเศษ เมื่อเริ่มจับดินสอ ขึ้นมาขีดเขียน เป็นการบ่งบอกถึงการสนองตอบต่อความอยากรู้อยากเห็น หลังจากที่มีการใช้สมองที่ยื่นออกมาจากตัว(มือทั้งสอง)ได้ดีและชำนาญขึ้น เขาจะบรรจงสร้างร่องรอยหรือไม่ก็ตาม แต่ผลสำเร็จคือความพึงพอใจ เมื่อเขาสามารถสร้างร่องรอยขึ้นได้ด้วยตัวเองสำเร็จ และสามารถขยายขอบเขตการเรียนรู้ออกไปไม่มีที่สิ้นสุด หากสำนึกรู้และผลสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ(ทักษะ) เขาเริ่มลากเส้นตรงโดยเพิ่มขนาดความยาวขึ้นระหว่างจุดสองจุด และเส้นโค้งที่เกิดจากการค้นพบของเขาเอง(เมื่อเส้นตรงยังไม่สามรถตรงได้) ไปจนถึงความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่เขาสามารถบังคับเสันให้โค้งมากพอที่จะมาพบบรรจบกันเป็นวงกลม จิตสำนึกดั้งเดิมของเขาคิดเห็นอย่างไรไม่มีใครทราบได้ หรือจะเป็นความพยายามที่จะส่งต่อความหมายบางสิ่งบางอย่างที่เขาคุ้นเคย และเมื่อวงกลมมีรูปทรงเหมือนสิ่งต่างๆได้มากมาย การค้นพบเส้นที่บรรจบกัน ก่อเกิดรูปทรงแทนค่าสรรพสิ่ง เมื่อการเลียนแบบทุกสิ่งทุกอย่างที่พบเห็นเป็นความพึงพอใจ การถ่ายทอดร่องรอยอาจมีขอบเขตความหมายกว้างไกลเกินระบบภาษา(พูด ฟัง อ่าน เขียน) การเขียนของเด็กวัยแรกเริ่มจึงเต็มไปด้วยธรรมชาติ (การดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง)และร่องรอยเหล่านี้เองจะเป็นการเผยให้เห็นถึงความจริงแท้ที่ถูกซ่อนอยู่ในสรรพสิ่งนั้นๆด้วย
       ตรงประเด็นนี้เองที่เป็นแรงบันดาลใจ ในการทำงานศิลปะร่วมกันระหว่างพ่อลูก ที่มีธรรมชาติเป็นแกนหลักร่วมกัน และด้วยกระบวนการศิลปะนี้เองจะเป็นตัวเชื่อมต่อสรรพสิ่งเข้ารวมกัน เพื่อพยายามเผยให้เห็นถึงความงามแห่งภาวะความจริงแท้ว่างดงามเช่นไร ผลลัพธ์แห่งการเรียนรู้และพัฒนาการที่ถ่ายทอดไว้ให้ซึ่งกันและกัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 จนถึงปี พ.ศ. 2547 มีวาระทั้งแตกต่าง คล้องจอง และเชื่อมโยงสัมพันธ์ในสรรพสิ่งเดียวกัน จากความเรียบง่ายไปสู่รูปสัญญะที่ซับซ้อนและมีภาวะจำลองมากขึ้น (เลียนแบบพ่อ) และจากความซับซ้อนแห่งรูปสัญญะกลับลงไปหาความเรียบง่าย (เลียนแบบลูก) เปรียบเหมือนการเรียนรู้ที่ต่างวาระในพื้นที่เดียวกันที่ต้องการดุลยภาพมาหล่อเลี้ยง สติปัญญาแห่งธรรมชาติอันดำรงอยู่นิรันดร์ จักฝังตัวอยู่ในเบื้องลึกถึงจิตใต้สํานึก ของเมล็ดพันธ์แห่งอนาคต ได้ไม่มากก็น้อย
         ธรรมชาติเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมที่มนุษย์มีอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งในโลกปรากฏการณ์ และสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังต่างหากที่มนุษย์ต่างมุ่งมั่นทุ่มเทค้นหาความจริง ด้วยความเชื่อที่ว่า ศิลปะเป็นสะพานเชื่อมโยงศาสตร์ต่างๆเข้าหากัน เป็นสติปัญญาทางธรรมชาติของเด็กวัยแรกเริ่มทุกคน และสติปัญญาดั้งเดิมนี้เองที่ชายวัยกลางคนพยายามค้นหาและบรรจงสร้างร่องรอยแห่งความรู้บนความไม่รู้ จากธรรมชาติบนธรรมชาติของธรรมชาติ ผ่านสายใยแห่งชีวิตพ่อลูก ที่จะไม่สามารถย้อนกลับช่วงเวลาที่มีคุณค่าเหล่านี้ไปได้

﴾͡๏̯͡๏﴿
..........................



วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ร่องรอย วิถีควบกล้ำ ๒๕๔๙


จากประสบการณ์แห่งสายใยชีวิตสี่คนพ่อแม่ลูก นำมาร้อยเรียงลำดับ ให้เห็นความมหัศจรรย์แห่งความ
เป็นไป
ในโลกธรรมชาติซ้อนธรรมชาติ  ธรรมชาติหนึ่ง เป็นห้องเรียนใบใหญ่  มีหัวใจเป็นสรรพชีวิตที่ปฏิสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ   ธรรมชาติอีกหนึ่ง เป็นเด็ก มีพ่อแม่ร่วมคลุกเคล้าชีวิต ร่วมใช้วันคืน ชวนเชิญ และร่วมเข้าเรียนในห้องเรียนใหญ่   ธรรมชาติเด็กจึงแสดงร่องรอยอันประทับใจจากการเรียนรู้  โต้ตอบและถ่ายทอดความหมาย ธรรมชาติใหญ่ออกเป็นภาพและรูปทรง  นัยนี้ ศิลปะโดยเด็กจึงไม่ได้เป็นแต่ศิลปะเด็ก ควบกล้ำธรรมชาติ เป็นภาพปรากฏของการหลอมรวมรูปทรงทางความคิด โดยพ่อแม่และลูก  สำแดงออกผ่านกระบวนการสื่อสารทางศิลปะ ในรูปแบบจิตรกรรม

พ่อ
ภาพเขียนสีน้ำมันของพ่อ ที่ตั้งใจเขียนไว้เมื่อตั้งแต่ดลวัยแบเบาะ  ตอนที่พ่อจินตนาการ ทั้งที่มาและที่ไปของชีวิตเด็กน้อยกับภาระกิจสำคัญของพ่อ จนสุดท้ายภาพที่ยังไม่เสร็จได้ถูกทิ้งร้าง ค้างคามาต่อเนื่องถึงหกเจ็ดปี  เพราะเวลาที่หายไปนั้น เปลี่ยนแปลงมุมมองวิถีชีวิต จนถึงเวลาวาระ ควบกล้ำธรรมชาติ  ความในใจที่เคยอยากถ่ายทอดเล่าเรื่องผ่านภาพเขียนเกี่ยวกับลูก ก็ต้องกลับกลายเป็นภาพถ่ายทอดตัวตนของพ่อที่มีภารกิจสำคัญต่อลูกอย่างที่เห็น

สัตว์ของแดน
พัฒนาการของแดนข้ามขั้นเพราะตามติดพี่ดลเสมอ  เมื่อแรงบันดาลใจจากสิงสาราสัตว์ครุกรุ่นอยู่ในหัว พ่อคิดลองให้แดนขยับฝีแปรงแบบใหม่ เขียนจากใจ (BLIND DRAWING) ใช้กาวยางสีใสเขียนภาพที่มองไม่เห็น รอให้แห้งแล้วละเลงสีทับสลับกันดำและทอง แดนชักสงสัยแล้วว่าพ่อให้แดนวาดไปทำไม  แดนรอสีแห้งแล้วค่อยๆลอกกาวที่เขียนออก ความตื่นเต้นสุดๆ เมื่อรูปทรงใหม่ค่อยๆปรากฏ  ดูราวกับว่าโผล่ออกมาจากใจ ภายในที่ตอบสนองความคิดของแดนที่มีต่อสัตว์


โลกของแดน
จินตนาการ ความในใจของแดนเคยถูกถ่ายทอดให้เห็นตั้งแต่วัยสามขวบ (ดู จากภาพ แปรสภาพ) ที่ให้เห็นมุมมองเหมือรูปทรงของความคิด ผ่านการละเล่นเรียนรู้ของพี่ดลกับหนอนดักแด้และผีเสื้อ  จนถึง โลกของแดน เป็นตัวตนของแดน จินตนาการปะเสริม เติมต่อ สัตว์แมลง  เพิ่มลีลาฝีแปรงใหม่สด สร้างรูปทรง นานาสัตว์ที่รู้จัก เผยให้เห็นโลกข้างในหัวใจของแดน


กวางทอง
เมื่อรูปทรงแปลกประหลาดพร้อมลวดลายสีสันที่หลากหลาย เป็นความงดงามของสรรพชีวิต ชี้ชวนให้ดลแดน หลงใหลเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์ที่ซับซ้อนในธรรมชาติ  ภาพประทับใจที่ น้ำตกห้วยยาง สมัยตั้งแต่วัยแรกเริ่ม จึงถูกเติมต่อ สิ่งมีชีวิตที่พบพาน ผ่านประสบการณ์ของเด็กๆที่ตามหาความงามอันน่าหลงใหลของนานาสัตว์ แม้กวางทองที่ซ่อนตัว เปรียบเหมือนการรอคอยให้พบเห็น แต่ก็ยังไม่เทียบเท่าคุณค่าสุนทรียภาพแห่งความซับซ้อน ภาพซ้อนที่โยงใยระบบสัมพันธ์ในธรรมชาติอันงดงามและยิ่งใหญ่  ภายใต้ความยุ่งเหยิงรกชันและไร้ระเบียบ

ต้นไม้ผีเสื้อ
เมื่อวงจรชีวิตผีเสื้อ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีเรียนรู้ของดลและแดน  นานาหนอน และผีเสื้อ ที่เด็กผ่านประสบพบมา ล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไปให้ฝังรอยประทับไว้มิรู้ลืม จินตนาการต้นไม้ผีเสื้อคราวนี้ มีพ่อลูกสามคนยืนชื่นชมจากริมหน้าผาเป็นฉากหลัง รวมถึงผีเสื้อยักษ์ตัวสำคัญที่ดลตวัดฝีแปรงราวกับหลับตาเห็น คือผีเสื้อกะท้อน


อาณาจักรสัตว์

ดลและแดนสนใจสิ่งมีชีวิตในรูปแบบหลากหลายขยายออกไป แต่ด้วยความสงสัยถึงจุดกำเนิดที่มาจากไหน ใครเป็นญาติใคร วิวัฒนาการเผ่าพันธุ์มาเช่นไร ความสนใจสืบค้นหาต้นต่อชีวิต กลับไปตั้งต้นที่ไดโนเสาร์ ไล่เรียงโลกโบราณ  นานาชีวิตมหัศจรรย์ล้วนพึ่งพาอาศัยอยู่ร่วมกัน เป็นอาณาจักร หากแต่ว่าความสงสัยอาจยังไม่ได้รับคำตอบ คงเป็นเพราะความซับซ้อนของสรรพชีวิตที่มีวิวัฒนาการมาแสนยาวนาน ดังเช่น นกเงือกและแมวน้ำของดลจะต้องเป็นญาติกันหรือไม่ ?



ต้นไม้ไม่รู้จบ
ภาพเขียนบนเฟรมจัตุรัสครั้งคราวเดียวกับภาพชุดปลาผีเสื้อ  ถูกถ่ายทอดลีลา จินตนาการในเชิงสัญญลักษณ์มากขึ้น ถึงคราวควบกล้ำครั้งที่สอง ดลแดนช่วยกัน เติมต่อเรื่องราวรอบบ้าน จินตนาการที่ ทับซ้อนกันไปมา ดลเริ่มต้นที่บ้าน ต้นไม้ นก  ใบไม้ บ่อปลา ใบไม้ร่วงหล่นพร้อมแมลง  แถมมีรั้วอยู่หน้าบ้าน จัดวางเป็นแนวเรียงลำดับแบบภาพสองมิติ  แดนต่อเติม แสงแดด พระอาทิตย์และก้อนเมฆ  จินตนาการเสารั้วของพี่ดล ให้กลายเป็นหมู่บ้านหลายๆหลัง จึงต่อเติมเสารั้ว ใส่ประตูหน้าต่าง แถมพาตัวเองเข้าไปอยู่ในบ้านเสียเลย  ส่วนพ่อนึกสนุกขอร่วมด้วย จินตนาการสร้างเส้นสายโยงใย คล้ายเถาวัลย์ ขดไปมา เป็นต้นไม้ให้หนอนกะท้อนคืบคลานได้ไม่รู้จบ
(ยังไม่จบนะครับ)


﴾͡๏̯͡๏﴿
















วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

ร่องรอย ควบกล้ำธรรมชาติ ๒๕๔๗


          ธรรมชาติเป็นห้องเรียนใบใหญ่  บ้านเป็นฐานเรียนรู้  และกระบวนการศิลปะเป็นตัวบดเคี้ยว สังเคราะห์ประสบการณ์การรับรู้ที่อาจจะเรียกว่าความรู้ได้หรือไม่ก็ตาม  ร่องรอยที่สะท้อนผลจากการเรียนรู้ในมิติธรรมชาติ ผสมผสานด้วยจินตนาการ ความรู้สึกต่อความงามและสุนทรียภาพในบริบทแห่งสรรพชีวิต  ข้อมูลประสบการณ์ ที่มาจากแรงบันดาลใจและจิตสำนึกในการเรียนรู้ สู่วิถีธรรมชาติ นับตั้งแต่วัยเด็กแรกเริ่มถึงวัยก่อนเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วัยรุ่น ของ เด็กชายสองคน ดล และแดน ในช่วงวัย ๗-๑๑ ขวบ คือพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ การปลูกฝังสำนึกที่รักษา รังสรรค์ต่อโลกในอนาคตของเด็กๆ  จากการเริ่มต้นกันที่บ้าน ขยายผลผ่านกระบวนการเรียนรู้ไปทุกหนแห่ง ฝึกฝนปฏิบัติกันไปตามอัธยาศัย
              ร่องรอย อันเกิดจาก การถ่ายทอดส่งต่อกัน ระหว่างการรับรู้และมุมมองที่เหมือนและแตกต่าง แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างโลกธรรมชาติ โลกของเด็กและมุมมองของผู้ใหญ่ เชื่อมต่อกันโดยสายสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูกกับวิถีชีวิตที่ร่วมกัน  ปรากฏการณ์เรียนรู้ที่เกิดขึ้นถือเป็นห้องปฎิบัติการเรียนรู้โดยครอบครัว ที่ได้รับรู้ หยั่งถึง
ถึงความมหัศจรรย์ของสรรพชีวิตร่องรอยที่ปรากฏ จึงเป็นผลจากการทับซ้อน ล้อเลียน สื่อสารความคิด จินตนาการ ซึ่งกันและกัน ภายใต้เครือข่ายสายใยชีวิตที่เชื่อมต่อกัน   เกิดเป็นผลงาน ร่องรอย ควบกล้ำธรรมชาติ




ปลาทั้งหลาย
เมื่อครั้งป.ปลา เป็นรูปทรงเคลื่อนไหวที่เร้าใจ ด.ช.ดล  ตอนวัยเริ่มขีดเขียน การถ่ายทอดรูปทรงคล้ายวงรีของเหล่า ป.ปลา นี่แหละ ที่ทำให้การว่ายวนคล้ายล่องลอยของ ป.ปลา นั้นหลากหลาย  วนเวียนอยู่ในใจเด็ก  ป.ปลาทุกตัวถูกถ่ายทอดผ่านการทำความรู้จักคุ้นเคยโดยการละเล่นขีดเขียน   ป.ปลา หลากหลายของเด็กๆ จึงเกิดความหมาย โยงใยมาถึง ป.ปลา ทั้งหลายหรือทั้งหมดในโลกของผู้ใหญ่
..........................................................................................................


 “ปลาผีเสื้อ
ผลงานการละเลงสีบนผ้าใบขนาดใหญ่ชิ้นแรกๆ ประสบการณ์ของดล คงเหมือนท้องทะเลกว้างใหญ่ มากกว่าแผ่นกระดาษ  พ่อเลือกมองผ่าน รูปทรงสีใส  ปลา ผีเสื้อ แม้เป็นเพียงชื่อสามัญ  แต่หารู้ไม่ว่า ความสนใจของดลโยงใยมาถึงผีเสื้อตัวจริงอีกหลากหลายชนิดในวัยต่อมา

...........................................................................................................


ปลากระเบน
จาก ป.ปลา ในท้องทะเลหลากหลายชนิด  แต่ดลติดใจอยู่ที่ ป.ปลา วนว่ายคล้ายกระพือปีก แถมรูปทรงประหลาดกว่าตัวอื่นเสียด้วย  ปลากระเบน  เคลื่อนไหวคล้ายนกยักษ์แห่งท้องทะเล พ่อจัดการกลมกลืนกระเบนใสใส่ท้องทะเล แต่ความสงสัยอยู่ตรงที่กระเบนตัวนี้ คือจุดประกายความสนใจให้ฝันไกลไปถึงชีวิตบนท้องฟ้า


............................................................................................................









ฉลามใจดี
เรื่องราวจากใต้ท้องทะเลลึก ที่ปกคลุมด้วยความมืดมิด มีป.ปลา แปลกประหลาดชื่อ แองเกลอฟิช ติดโคมไฟส่องแสงไว้ล่อเหยื่อปลาที่หลงแสงสี   มีฉลามยักษ์ใหญ่ใจดีกินแต่แพลงตอน พลัดหลงเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงปลาทะเลลึก ดลถ่ายทอดจินตนาการที่ถูกสังเคราะห์  ผ่านสีสัน และรูปทรง ด้วยแรงบันดาลใจจากข้อมูลเรื่องราวใต้ท้องทะเลลึก
.....................................................................................................














"กระโทงแทง"
เมื่อ ป.ปลาว่ายน้ำเร็วที่สุดโชว์ลีลานักกระโดด  เป็นที่ประทับใจของดลทุกครั้งที่เห็นจากหนังสือภาพหรือสารคดี  ถึงคราวนึกอยากถ่ายทอดลงบนผ้าใบดูบ้าง เส้นสายฝีแปรง ตวัดฉวัดเฉวียนไปตามลีลากระโทงแทง ด้วยการรับรู้และถ่ายทอดรูปทรง อย่างอิสระ  ตรงไปตรงมาโดยธรรมชาติของเด็กๆ

...................................................................................................................









สิ่งมีชีวิต
การรับรู้ ที่ตอบสนองสัมผัส ของดลและแดน ถูกตีความผ่านสิ่งเคลื่อนไหวที่มีชีวิต  สิ่งมีชีวิตของดลและแดน  ในขณะที่มีโลกทัศน์ที่แตกต่างกันด้วยทักษะการควบคุมมือ ร่องรอย ที่เชื่อมโยงความรู้สึกในโลกใบเดียวกันแต่ต่างกันที่ประสบการณ์สัมผัส
...........................................................................................

มหัศจรรย์แปลงร่าง
 เป็นอีกกระบวนที่เริ่มต้นด้วยการเลือกลงสีพื้นบนเฟรมไม้หลากหลายสีตามใจนึกไว้หลายๆเฟรม  แล้วเด็กๆเลือกถ่ายทอดความประทับใจแบบไม่รีรอ  เมื่อวงจรผีเสื้อ เป็นประสบการณ์เล่าเรื่อง  ชีวิตที่คืบคลานและโบยบิน เช่น ผีเสื้อ เส้นสายและลายฝีแปรง สำแดงรอยประทับแบบฉับไว ดลเล่าเรื่องปะติดปะต่อไว้ในแต่ละเฟรมให้ ลื่นไหลและหลากหลาย จากนั้นพ่อจะค่อยๆตีความ เลือกภาพจัดลำดับ ให้เรื่องเล่าประทับใจของดล ส่งผ่านลีลาเส้นสาย ตวัดฝีแปรงให้เต็ม



..................................................................................................................................





ต้นไม้ผีเสื้อ
โดยบังเอิญบนม้วนผ้าใบผืนใหญ่  ที่กางวางแผ่บนพื้นห้อง ดลมาเห็นอยากกลิ้งเกลือกนอนเล่นไปมา กลิ้งไปกลิ้งมา นึกอยากวาดเล่นบนผ้าใบด้วยเส้นปากกา ภาพต้นไม้ใหญ่กลางผืนผ้า ตามมาด้วยผีเสื้อเกาะบิน เวียนว่อน  แถมบึงน้ำบ่อ ป.ปลา อยู่เคียงข้าง 
แต่ดลดูยังไง...ก็ยังรู้สึกเหงาหงอย พ่อพออ่านความฝันในใจดลออก จินตนาการต้นไม้ ให้สมหวังควรเป็นเช่นไร...

.........................................................................................................................







พยูน
เมื่อดลเริ่มขยายความสนใจในรูปแบบชีวิตที่แตกต่างออกไป สรรพสัตว์ที่รู้จักมากมายหลายรูปแบบถูกถ่ายทอดด้วยเส้นสายทับซ้อนไปมาอยู่หลายวัน จนมาถึงพะยูนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มิใช่ปลาแถมพิสดารประหลาดล้ำมีชีวิตอยู่ใต้น้ำชอบหญ้าทะเล  แต่พะยูนใกล้สูญพันธ์แล้ว ดลแดนเห็นพะยูนได้ก็แค่ตัวสต้าฟแห้งกับโครงกระดูกที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสน พะยูนอาจเป็นได้แค่  ร่องรอยในความทรงจำที่ต้องจินตนาการจากโครงกระดูกถ้าหากอยากรู้จักพะยูนให้มากกว่านี้
..................................................................................................




"กรรมะ"
สำหรับดลในวัยหกขวบ แม้ยังไม่ประสีประสากับเรื่องราวธรรมะ แต่ก็ได้พบพานโดยตรงจากธรรมชาติ เมื่อดลเจอไข่กบและเฝ้าดูวงจรชีวิตจากลูกอ็อดแปลงกายมาเป็นกบ  พร้อมเรียนรู้แมลงปอ ตอนวัยอ่อนอยู่ในน้ำมีฉายานักล่าทั้งใต้น้ำกลางอากาศ  แต่วงจรชีวิตของสัตว์ทั้งสองผูกพันกันด้วยกรรมซึ่งเป็นผลของการกระทำ เมื่อครั้งกบตอนโตเคยกระโดดงับแมลงปอกิน หารู้ไม่ว่าวัยเด็กตอนที่เป็นลูกอ็อด ก็เคยถูกบรรดาตัวอ่อนแมลงปอไล่งับกินอยู่ใต้น้ำ   ปรากฏการณ์กรรมะที่ดลสัมผัส




น้ำตกห้วยยาง
น้ำตกห้วยยางแหล่งเรียนรู้แห่งแรกๆที่ดลรู้จัก ครั้งนั้นในวันที่ฝนตกพรำ ดลมีเสื้อกันฝนใส่และเดินย่ำฝ่าเม็ดฝน ลัดเลาะขึ้นไป ผ่านแก่งหิน ก้อนโต เป็นระยะๆ ท่ามกลางกระแสน้ำไหลหลากจากภูเขา  ต้นยางต้นใหญ่ที่อาศัยพักพิงของเหล่าชีวิตน้อยใหญ่ให้ดลทักทาย รวมถึงกระสุนพระอินทร์ ชีวิตแปลกใหม่คล้ายกิ้งกือแต่หดตัวเป็นเม็ดกลมๆ  ดลกลับมาละเลงสี จากความรู้จักพร้อมบรรยากาศภาพประทับ พ่อเห็น ดลเห็น เป็นเช่นนั้น  เหล่าชีวิตที่คุ้ยเคยจึงถูกเพิ่มเติมโดยพ่อ  เหมือนเชี่อมโยงภาพประทับให้เป็นจริง