วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ถึงก็ช่าง.... ไม่ถึงก็ช่าง



ช่วงเวลามีค่าของเด็กไปโรงเรียนช่างแตกต่างกับสมัยที่ดลและแดนทำบ้านเรียนเป็นอย่างมาก ปิดเทอมใหญ่จึงถือเป็นอีกช่วงเวลาที่สำคัญ ดลอยากกลับไปเยือนแหล่งธรรมชาติที่คุ้นเคยในหลายๆแห่ง แม้ว่าดลกับแดนและเพื่อนๆจะได้ไปเขาใหญ่กลับมาแล้วและอีกไม่นานก็จะถึงเวลาเปิดเทอม ดลอยากไปบ้านพี่ตู่ที่ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี อีกสักครั้ง จากฝั่งตรงกันข้ามของน้ำตก ที่ ต.วังกระแจะเห็นไร่มันติดชายเขาเก่าแก่ มีถ้ำผาธรรมชาติให้สำรวจ มีอ่างเก็บน้ำ และแม่น้ำแควน้อย เป็นพื้นที่ธรรมชาติกลางแจ้งที่คุ้นเคยของเด็กๆ   แต่สำหรับครั้งนี้ ดลกับผมเลือกเดินทางไปโดยทางรถไฟกันตามลำพัง
รถไฟฟรี สายธนบุรี-น้ำตก(ไทรโยคน้อย)
รถไฟฟรีมีมาตั้งแต่ปี ๕๑ เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ประชาชน โดยไม่จำกัดฐานะชนชั้น จนถึงปัจจุบันนโยบายนี้ได้รับการพิจารณาให้ได้รับขยายเวลาออกไปจนถึง ๓๑ ก.๕๘ นี้ ก่อนที่จะได้รับพิจารณาเห็นชอบหรือปรับปรุงอีกครั้ง  ถือเป็นโอกาสดีของผมและดลที่จะได้ลองนั่งรถไฟฟรีบริการสวัสดิการจากภาครัฐ ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิภาพในการเดินทางตามอัตภาพที่ประชาชนคนไทยทุกคนสามารถทำได้ โดยการแสดงสิทธิด้วยบัตรประชาชน เพื่อรับตั๋วฟรีในการเดินทาง ขบวน 257 ออกจากสถานีธนบุรี เวลา 07.50 .เราจะถึงสถานีน้ำตก ในเวลา 12.35 .ตามตารางกำหนดเวลาเดินรถ 



ประสบการณ์ความเนิบช้า
จากสถานี(กรุงเทพฯ)ธนบุรี รถไฟจะต้องแวะจอดสถานีทั้งหมดถึง ๑๕ สถานี ผมและดลได้สัมผัสชีวิตที่ช้าลงจากรถไฟขบวนนี้ แบบที่ไม่ต้องแวะปั้มเข้าเซเว่นกันเลย ขนมจีบ ผัดไทย ไก่ย่างและข้าวผัดยันเฟร้นช์ฟรายฯลฯ ของกินพร้อมสรรพมีให้เลือกซื้อเป็นระยะ มีผู้คนเปลี่ยนผ่านบนเส้นทางเดียวกัน หากแต่ต่างกรรม ต่างวาระและจุดหมาย ชีวิตต่างดำเนินไปไม่เร่งรีบมีเรื่องราวที่ถูกเรียงลำดับให้เวลาลื่นไหลไปโดยไม่รู้สึกถึงความหน่วงเหนี่ยว เป็นความเนิบช้าที่ให้โอกาสเรา ได้เรียนรู้จากมิตรร่วมทางด้วยบทสนทนาสั้นๆแค่เพียงบางถ้อยคำก็ตาม
ลุงนัน เป็นคนแรกที่ทักทายเราในโบกี้รถไฟ ลุงนันรับจ้างทั่วไป ตั้งแต่แบกข้าวสาร ล้างรถ ไปจนถึงชงกาแฟ แต่วันนี้จะไปลงที่สถานี แควใหญ่ และจะปั่นจักรยานไปที่ สะพานจินดา ไปช่วยงานก่อสร้างต่อเติมรีสอร์ทแถวๆนั้น ลุงนันอุ้มกระเป๋าหนังคู่ใจเปิดให้ดูของสำคัญ ข้างในกระเป๋ามี พระเครื่อง ยานวด หนังสือพิมพ์ ใบปลิวใบ้หวยและเรียงเบอร์ ผมแปลกใจ...ลุงไม่มีเสื้อผ้าติดกระเป๋าเลยสักชุดเดียว ลุงนันบอกว่าของพวกนี้เพื่อนเค้าฝากซื้อ....


พี่เหน่งกับพี่เนย เราได้พบเจอพูดคุยกับหนุ่มสาวคู่นี้ ทั้งขาไปและขากลับขบวนเดียวกัน พี่เหน่งกับพี่เนยเลือกใช้เวลาบรรยากาศโรแมนติคธรรมชาติจากรถไฟขบวนนี้ พี่เหน่งทำอาชีพขับรถ ส่วนพี่เนยขายของ จัดเวลาให้กันในวันหยุดจะไปถึงสุดปลายทางที่สถานีน้ำตก แล้วค่อยไปเดินหารีสอร์ทราคาประหยัดพักผ่อนเล่นน้ำและกลับในวันรุ่งขึ้น

น้องปุ้ย นิสิตปีที่๑ คณะ วิศวกรรม ม.ศิลปากร สะพายกล้องมากับเพื่อนอีกสองคน น้องปุ้ยชอบถ่ายภาพ รอจังหวะบันทึก วิถีผู้คนบนรถไฟ เป็นครั้งแรกบนขบวนรถสายน้ำตก จะไปลงที่สถานีถ้ำกระแซ เพื่อถ่ายภาพ ทางรถไฟสายมรณะในมุมที่งดงามที่สุด
ลุงวัฒน์ เป็นคนที่นั่งหลับมาตั้งแต่สถานีต้นทาง มาได้คุยกันตอนที่แกตื่นจะลงที่สถานีท่าเรือน้อย เพื่อไปทำงานรับจ้างก่อสร้างที่อำเภอท่ามะกา
กลุ่มชมรมจักรยานพระราม๘ ลุงพรชัยข้าราชการเกษียณนายทหารอากาศเก่าชวนเพื่อนสมาชิก พร้อมจักรยานพับประจำตัวแบกขึ้นรถไฟในทริปพิเศษนี้ จะไปลงกันที่ สถานีแควใหญ่ และเริ่มปั่นกันไปถึงหนองบัวระยะทางสิบกว่ากิโล พักลงเล่นน้ำแล้วปั่นกลับมาให้ทันขึ้นรถในตอนเย็น
คุณยายสมรักษ์ กับหลานและพี่ขวัญ นั่งรถไฟมาลงที่สถานีกาญจนบุรี ใช้เส้นทางนี้ไปบ้านน้องสาวในเมืองกาญจนบุรีเป็นประจำเพราะทั้งประหยัดและสะดวกมากสำหรับหลานซนสองคน

น้าปีย์ ขึ้นรถที่สถานีนครปฐม พร้อมสัมภาระถุงปุ๋ยขาวสะอาดพับกอดติดตัว น้าปีย์เลือกนั่งพื้นอยู่มุมโบกี้ด้วยหน้าตายิ้มแย้มดูสงบเย็น คุยกันว่าจะลงที่สถานีท่าเรือน้อยเพื่อไปช่วยงานบุญที่วัดท่ามะกา ก่อนจะไปเยี่ยมลูกสาวและเดินสายเก็บของเก่ารีไซเคิลต่อ น้าปีย์ยึดอาชีพเก็บของเก่ามาสิบกว่าปีเพื่อส่งลูกสาวเรียนจนจบ ไม่มีบ้านและทรัพย์สมบัติ มีงานเก็บของเก่ากับงานบุญทุกๆวัดที่ไปช่วยอาศัยกินนอนเป็นหลัก มีสิ่งสำคัญพกติดตัวอยู่ในถุงปุ๋ยคือ มุ้ง เพื่อให้ได้พักนอนหลับและตื่นแข็งแรงในวันรุ่งขึ้น
 

พี่เก่ง สาวมาดมั่นขึ้นมานั่งรถไฟเที่ยวแบบนี้เป็นประจำในวันหยุดสุดสัปดาห์ อยากลงเดินเที่ยวที่สถานีไหนก็ลง วันนี้กะว่าจะลงที่สถานีนครปฐม ไปเดินเล่นไหว้พระและหาของอร่อยกิน
ด็อกเตอร์จิมและมิสลอรี่ เป็นชาวต่างชาติคู่เดียวบนตู้โดยสารที่ตีตั๋วโดยสารราคา100บาท ดร.จิมทำงานเกี่ยวกับองค์กรเครือข่ายการจัดการปรับสภาพทางสิ่งแวดล้อมจากผลกระทบวิกฤติโลกร้อนในกลุ่มประเทศอาเซียน(Asian Cities Climate Change Resilience Network) เลือกมาท่องเที่ยวเส้นทางรถไฟสายน้ำตกเพราะความเป็นเส้นทางสายประวัติศาสตร์และต้องการสัมผัสวิถีชีวิตของคนไทยจริงๆ ทั้งคู่จะไปลงที่สถานีน้ำตกและจะใช้เวลาพักผ่อนที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งสักสองสามวัน


ในมุมมองของผม รถไฟฟรีชั้น ๓ ยังเป็นแค่โครงการทดลองช่วยเหลือในรูปแบบของการให้เปล่าแบบประชานิยมเอาหน้ารอดถึงจะเป็นมาตรการชั่วคราวแต่ก็มีการต่ออายุมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน ๗ ปีเข้าไปแล้ว ไม่พบเห็นพัฒนาการความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมให้จับต้องได้ ทั้งๆที่หลายๆฝ่ายมองเห็นศักยภาพของรถไฟ ที่สามารถพัฒนาบูรณาการไปสู่รัฐสวัสดิการในหลายมิติเช่น ขนส่งมวลชน สิ่งแวดล้อม เศรฐกิจและท่องเที่ยว จนถึงท้ายสุดทำให้ผมรับรู้ได้ว่า ความเนิบช้าต้องมิใช่ความล้าหลัง แต่เป็นการดำรงอยู่กับปัจจุบันอย่างสมดุลและยั่งยืนมากกว่านะ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น