วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สองล้อปั่น



ปั่นจักรยานประสบการณ์สำคัญของวัยเด็ก กลุ่มครอบครัวควบกล้ำฯถือเป็นอีกหนึ่งภาระกิจสำคัญ หากได้มารวมกลุ่มเรียนรู้ร่วมกันเมื่อไหร่ มักต้องปิดท้ายด้วยการขี่จักรยานสำรวจหลังบ้านเป็นประจำเป็นการฝึกทักษะการปั่นร่วมกันทั้งครอบครัว  ด้วยวัยเด็กที่ต่างกัน จักรยานจึงมีตั้งแต่คันเล็กของน้องอ่อนสุดและของพี่คันย่อมไปจนถึงคันโตของพ่อแม่ แต่ละคนผ่านการหัดขี่จักรยานมาแตกต่างกันตามสไตล์การเรียนรู้ของแต่ละครอบครัว สะท้อนให้เห็นบางแง่มุมของบ้านเรียนแต่ละบ้านที่มีความเป็นเฉพาะตัวแตกต่างกัน ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น การได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ยากเข็ญเหน็ดเหนื่อยจากกิจกรรมการปั่นจักรยานร่วมกัน ทำให้เห็นถึงคุณค่าความสำคัญและประโยชน์ของจักรยานโดยตรง เกิดเป็นแรงบันดาลใจร่วมกันในกิจกรรมละเล่นเรียนรู้จากห้องเรียนธรรมชาติ


ความสุขติดล้อ
จำได้ว่าน้องแดนมักจะได้รับบทเรียนจากการปั่นมากกว่าคนอื่นเป็นเพราะทักษะจักรยานคันเล็กที่ยังต้องติดล้อเล็กประคองตัว ในขณะที่พี่ๆปั่นสองล้อไปได้ไกลๆถึงหลังบ้านแล้ว ครั้งที่แดนถอดล้อข้างออก พี่ๆช่วยกันประคองวิ่งตอนออกตัว แดนปั่นตามออกไปได้อย่างสนุกสนาน แต่พอถึงคราวกลับเข้าจอด น้องแดนไม่รู้ว่าจะหยุดจอดยังไงดีจึงชะลอความเร็วและตัดสินใจพุ่งเข้าชนฟุตบาทให้รถหยุดล้มลงแต่ก็ลุกขึ้นมาบอกพี่ๆว่า "ไม่เจ็บๆ"...นี่เป็นวิธีจอดรถของแดนในตอนแรกๆที่เรียกเสียงฮา  จนกระทั่งแดนปั่นสองล้อได้แข็งแรงขึ้น จึงปั่นตามพี่ๆไปหลังบ้านระหว่างทางผ่านแอ่งน้ำขัง หันมาอีกทีน้องแดนล้มกองอยู่กับผืนน้ำเปียกปอนไปทั้งตัว เพราะความลื่นของถนน  เส้นทางปั่นลัดเลาะไปทุ่งหลังบ้านเป็นระยะทางไปกลับถึง ๔ กม.เป็นเส้นทางที่เด็กและพ่อแม่ได้ฝึกทักษะและวินัยในการปั่นให้คล่องแคล้วเท่าเทียมกัน เราได้ใช้เวลากันที่นี่อยู่พักใหญ่จนถึงวาระเปลี่ยนจักรยานคันใหม่ตามขนาดให้เหมาะสมกับความสูงที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว



บนถนนนักปั่น
เป็นความโชคดีที่เส้นทางจักรยานจากทุ่งหลังบ้านถูกต่อเชื่อมด้วยสะพานปูนเรียบคลองบ้านม้าข้ามทางรถไฟสายตะวันออกสู่ถนนลูกรังใต้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิ้งค์ก่อนที่จะเชื่อมเข้าสู่ถนนทางเรียบคู่ขนานมอร์เตอร์เวย์         เส้นทางสำหรับนักปั่นด้วยระยะวนรอบไปกลับประมาณ ๒๐ กิโลเมตร มีช่วงขึ้นเนินสะพานยาวอยู่สองช่วงนักปั่นทางเรียบมักนิยมมาฝึกซ้อม  นับว่าเป็นเส้นทางที่ต้องใช้ทักษะในการปั่นมากพอควรสำหรับเด็กๆและคุณแม่ ระหว่างทางมีวัดลานบุญเป็นจุดพักเล่น มีฝูงปลาสวายเป็นขวัญใจของเด็กๆ เป็นประสบการณ์ดีๆที่ได้ฝึกฝนผ่านทั้งความเหน็ดเหนื่อย ความอดทนและสติตื่นตัวบนถนนที่มีรถยนตร์ผ่านไปมาค่อนข้างน้อย(แต่มักใช้ความเร็วสูง) จนถึงจุดสิ้นสุดที่ทุกคนสัมผัสได้ถึงความสุขที่หลั่งออกมาหลังความเหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะผ่านพ้นมาได้อย่างปลอดภัย เราเริ่มสะสมทักษะด้วยการขนขึ้นรถและข้ามเรือไปปั่น  ทำให้ได้สัมผัสถึงรายละเอียด เก็บความทรงจำดีๆ จากหลายพื้นที่ในเวลาต่อมา






กรุงเทพฯสีเขียว
๑ ม.. ๕๓ คือร่องรอยเวลาบันทึกโปสการ์ดของเด็กๆเมื่อประมาณ ๔ ปีที่แล้ว หลังจากที่เราฝันปั่นไปไกลๆกันมาแล้ว เกิดแรงบันดาลใจอยากให้ กทม.เป็นเมืองปั่นที่ใช้รถน้อยลง มีต้นไม้ร่มรื่นขึ้น วันขึ้นปีใหม่เป็นวันดีที่เหมาะสมสำหรับกิจกรรมปั่นในเมืองเพราะรถน้อย จึงชักชวนกันไปตั้งต้นชมเมืองใหญ่ที่สวนลุมพินี พื้นที่สีเขียวอันน้อยนิดใจกลางเมือง ปั่นไปบันทึกวาดภาพโปสการ์ดตามจุดสำคัญที่แออัดตั้งแต่ สามย่าน สยาม มาบุญครอง สีลมและสาธร เพื่อสังเกตุการณ์พื้นสีเขียว ไบค์เลน ทางเท้า แผงรอย  ตุ๊กๆ แท็กซี่ รถเมล์และควันรถ เก็บไว้เป็นอีกหนึ่งชุดประสบการณ์ปั่น ภาพวาดบันทึกโปสการ์ดถูกติดตั้งบนรถพ่วงบนแผงโชว์ ปั่นไปบนท้องถนนและจอดพักตามจุดวาดภาพไปด้วย เด็กๆจะต้องรักษาขบวนด้วยความเร็วที่เกาะกลุ่มกันและระมัดระวังการขับขี่ให้มากขึ้นอีกเท่าตัวและไม่ลืมทักษะการตัดสินใจเวลากระชั้นชิด มีเสียงแตรดังบีบไล่หลังในขณะที่คุณแม่กำลังปั่นไปกับลูกๆ ด้วยความคิดกังวลอยู่ลึกๆ ความฝันจากวันนั้นจะเป็นจริงได้มากน้อยเพียงไร ไม่มีใครคาดหวังมากนัก เว้นเสียแต่การเริ่มลงมือทำ




ปั่นไกล้ไกล ไปให้ถึง

          จนถึงวันนี้มีนักปั่นอยูบนท้องถนนเพิ่มมากขึ้น มีร้านบริการจักรยานที่หลากหลาย มีโครงการรณรงค์ที่คึกคัก มีโครงการณ์"ปันปั่น"จากกทม..ให้ทดลองใช้ถึง ๕๐ สถานี มีวันคาร์ฟรีเดย์ที่แสดงพลังปั่นอย่างพร้อมเพรียงกัน  แต่แล้วข่าวอุบัติเหตุบนท้องถนนจากเพื่อนนักปั่นทั้งเก่าและใหม่ก็ยังคงมีอยู่เป็นระยะๆ โดยส่วนตัวต้องยอมรับว่าการปั่นจักรยานบนท้องถนนยังคงเป็นเรื่องที่ต้องผจญภัยกันอยู่ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ตราบใดที่ทัศนคติในการใช้ถนนยังมองเห็นจักรยานเป็นแค่ล้อเลื่อนที่เกะกะบนท้องถนน ไม่รับรู้ถึงสิทธิจักรยานบนท้องถนนที่ต้องใช้ร่วมกัน "ไบค์เลน" จึงเป็นได้แค่ร่องรอยเชิงสัญญลักษณ์ทับซ้อนอยู่บนท้องถนน โชคยังดีที่มีนักผจญภัยอีกมากมายกระโดดลงมาใช้สิทธิจักรยานบนท้องถนนร่วมกัน ช่วยสร้างสรรค์เมืองกรุงเทพฯให้น่าอยู่มากขึ้นกว่าเดิม..ในอนาคตอันใกล้นี้







ผีเสื้อที่รู้จัก


ผีเสื้อหางติ่งหนอนมะนาว กำลังผึ่งปีกหลังจากเพิ่งออกมาจากดักแด้
  ในช่วงวัยเด็กการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ในธรรมชาติจึงหมุนเปลี่ยนวนซ้ำเหมือนขดก้นหอยที่ขยายออกไปไม่สิ้นสุด จะเลิกราก็ต่อเมื่อเด็กๆเปลี่ยนความสนใจไปสู่สิ่งใหม่ หนอนผีเสื้อที่ดลและแดนเริ่มสนใจนำมาเลี้ยงก็เช่นกัน เมื่อต้นส้มจี๊ดหน้าบ้านมีนกกางเขนบินมาคอยเก็บกินหนอนอยู่บ่อยๆ  ประตูต้นเรื่องจึงเปิดออกไปสู่โลกภายนอกที่กว้างใหญ่  ประสบการณ์ผีเสื้อของดลและแดนเป็นภาพย่นย่อที่ได้เห็นความเป็นไปของโลกธรรมชาติจากวงจรชีวิตของผีเสื้อ  โดยเฉพาะช่วงเวลาสำคัญของการแปลงร่างจากหนอนเข้าสู่ดักแด้  หรือนาทีสำคัญตอนที่ผีเสื้อค่อยๆเยื้องกายออกจากดักแด้และเกาะผึ่งปีกรอเวลาก่อนจะโบยบิน  ดลเคยเฝ้ารอดักแด้ผีเสื้อหางติ่งหนอนมะนาวที่ใต้เก้าอี้ม้านั่ง จนได้เห็นนาทีสำคัญที่ประทับรอยเอาไว้ในตอนวัยเด็ก

นาทีสำคัญของดลเมื่อผีเสื้อหางติ่งหนอนมะนาวเยื้องกรายออกจากดักแด้
หนอนมะนาวพรางตัวเหมือนอึนกบนใบต้นส้มจี๊ด
กลายเป็นหนอนแก้วตัวโต กินและอึตลอดวัน
หนอนมะนาวโตเต็มที่กำลังจะเข้าดักแด้
ดักแด้หนอนมะนาวเกาะห้อยตัวก่อนแปลงกายเป็นผีเสื้อหางติ่งหนอนมะนาว
     โลกของผีเสื้อจึงเต็มไปด้วยสีสันและมิติแห่งการเปลี่ยนแปลง ในวงจรชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์ (Meta-
mophosis) ดลและแดนสามารถพบเจอได้แถวหลังบ้านระหว่างทางปั่นจักรยานซึ่งมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ก็ยังมีผีเสื้อในฝันชนิดหายากหรือที่เชื่อกันว่าสูญพันธ์ไปแล้วเช่น ผีเสื้อสมิงเชียงดาว  หรือผีเสื้อที่ตัวใหญ่ที่สุดเช่นผีเสื้อกะท้อน เป็นแรงบันดาลใจให้เราได้ดั้นด้นไปค้นหา ความน่าตื่นตาตื่นใจและความหลากหลายของผีเสื้อจึงกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และเปิดโอกาศให้เด็กๆได้ลงพื้นที่สัมผัสโลกธรรมชาติได้มากขึ้น  ได้ฝึกทักษะการมองที่ต้องรู้จักสังเกตทั้งรายละเอียดและภาพรวม ไม่งั้นแล้วอาจไม่เจอหนอนผีเสื้อตัวเล็กๆหนอนผีเสื้อแต่ละชนิดกัดกินพืชอาหารแตกต่างกันตามแต่ละชนิดพันธ์ การได้รู้จักพืชพรรณไม้ชนิดต่างๆจึงเป็นของแถมสำคัญที่ได้รับไปด้วย....

ดลและแดน ปั่นจักรยานสำรวจผีเสื้อข้างทาง
หนอนผีเสื้ิอใบรักลายเสือ(ลำตัวดำ) และใบรักธรรมดา ที่ดลแดนช่วยกันเลี้ยง
หนอนผีเสื้ิอใบรักกำลังกัดกินใบรัก
น้องแดนกับผีเสื้อหนอนใบรักธรรมดา
หนอนผีเสื้อกะทกรกกินใบกะทกรก
ดักแด้และตัวเต็มวัยของผีเสื้อหนอนกะทกรก
ผีเสื้อหนอนกะทกรกเพิ่งออกจากดักแด้

หนอนกาฝากและหนอนกาฝากกำลังจะเข้าดักแด้
ผีเสื้อหนอนกาฝาก
ในตอนวัยเด็กของดลและแดน จึงมีโอกาสทำความรู้จักพืชข้างทางกับแม่หน่อยไปด้วยเกือบทุกๆเช้า เราแวะดูต้นรักที่ใบโดนกัดกินพบเจอหนอนใบรักตัวเล็กจิ๋วซึ่งจะแปลงกายเป็นผีเสื้อหนอนใบรักธรรมดา  ยิ่งปั่นไปไกลขึ้นเท่าไรข้างทางยิ่งรกชัณขึ้นเท่านั้น ได้พบกับไม้เลื้อยกะทกรกออกดอกสวยมีหนอนกะทกรกสีสดใสกัดกินใบอยู่เป็นกลุ่ม ผีเสื้อหนอนกาฝากสีน้ำตาลส้มบินวนเวียนคอยวางไข่ไว้ตามใบกาฝาก พอโตเป็นหนอนได้อาศัยกัดกินใบเป็นอาหาร เด็กสองคนจึงต้องคอยสังเกตุต้นกาฝากพืชเบียนที่คอยเติบโตแย่งดูดอาหารจากต้นไม้ใหญ่ ยังมีหนอนผีเสื้ออีกหลายๆชนิดที่ได้สำรวจจากห้องเรียนธรรมชาติและต่อยอดความสนใจเชื่อมโยงไปสู่เรื่องราวอื่นๆในเวลาต่อมา

ลานผีเสื้อที่บ้านกร่างลำธารสอง
ดลท่ามกลางฝูงผีเสื้อที่บ้านกร่างแคมป์ อช.แก่งกระจาน








เมื่อผีเสื้อขยับปีก
.จุดสำรวจลำธารสอง บ้านกร่างแคมป์ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ดลและแดนยืนอยู่ท่ามกลางผีเสื้อนานาชนิดจำนวนนับพันบินว่อนเกาะกลุ่มกันตามแอ่งน้ำและโป่งดินในช่วงเวลาหน้าร้อนที่มีสายน้ำเล็กๆเท่าที่เหลืออยู่ บนผืนป่าธรรมชาติมีผีเสื้อขยับปีก โฉบบินอย่างเงียบเชียบไร้สำเนียง มีความสงบจากธรรมชาติโอบล้อมไว้...โลก จักรวาลและเอกภพ กำลังเคลื่อนไป....
     แต่อาจเป็นความกลัวสำหรับใครบางคน เมื่อผีเสื้อเคลื่ิอนไหวไร้เสียงโฉบไปมาเป็นผีเสื้อที่ไม่เคยทำความรู้จักมาก่อน น้องอั๋นคือหนึ่งในนั้นที่กลัวผีเสื้อจนต้องอยู่ห่างๆเพราะกลัวว่ามันจะบินมาเกาะ ในครั้งที่น้าเกรียงและกลุ่มครอบครัวบ้านเรียนจัดกิจกรรมเรียนรู้สัมผัสธรรมชาติให้กับครอบครัวและเด็กๆ ที่บ้านกร่างแคมป์ น้าเกรียงพาน้องอั๋นค่อยๆทำความรู้จักกับมด แมลง และพรรณพืชนานาชนิดตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติก่อนที่จะไปถึงจุดสุดท้าย ณ.ลำธารสอง การทำความรู้จักผีเสื้อจำนวนนับพันในวันนั้น กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้น้องอั๋นหายจากอาการโฟเบียผีเสื้อมาตั้งแต่ครั้งนั้น คงเพราะได้สัมผัสทำความรู้จักผีเสื้อในบรรยากาศที่ห้อมล้อมด้วยการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติจากเพื่อนๆและคุณครูที่อบอุ่น

อวัยวะพิเศษที่น้าเกรียงใช้นิ้วเขี่ยให้มันยื่นออกมา
          จากก้นของผีเสื้อจรกา


ผีเสื้อขยับก้น
ในทางกลับกัน ดลมีอาการกลัวผีเสื้อเราสังเกตุเห็นได้เมื่อตอนที่ไปสำรวจถ่ายทำเรื่องแมลงกัน ที่อุทยานแห่งชาติปางสีดา จ.สระแก้ว เป็นช่วงเวลาที่ดลเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ดลมีอาการขยะแขยงกับผีเสื้อที่บินว่อนอยู่ตรงหน้า  จนเพื่อนๆและน้าเกรียงต้องร้องทัก    "พี่ดลกลัวผีเสื้ิอหรือ?" ทุกคนต่างประหลาดใจ ดลค่อยๆเรียบเรียงเล่าประสบการณ์สำคัญอย่างรวบรัดว่า วันหนึ่งดลจับผีเสื้อมาเขี่ยก้นดูเพื่อจำแนกเพศ เขี่ยไปเขี่ยมามันยื่นแผ่ขยายอวัยวะพิเศษเป็นพู่สีเหลืองสองข้างออกมาที่ก้น ทำให้ตกใจมากสบัดมือทิ้งไปโดยไม่รู้ว่ามันคืออะไรตั้งแต่นั้นมา....น้าเกรียงฟังจบถึงกับร้องอ๋อ...และอธิบายว่าผีเสื้อบางชนิดในวงศ์ขาหน้าพู่กลุ่มหนอนใบรัก จะมีอวัยวะพิเศษไว้ปล่อยสารฟิลาโมนเพื่อป้องกันไล่ศัตรูและดึงดูดเพศตรงกันข้าม น้าเกรียงอธิบายพลางจับผีเสื้อจรกาที่บินวนเวียนอยู่แถวนั้นมาเขี่ยให้ดู ทำให้ดลลดอาการกลัวผีเสื้อลงไปบ้างแต่ก็คงต้องทำความเข้าใจโลกธรรมชาติภายในตนเองให้มากขึ้น โดยเฉพาะในสภาวะที่ความกลัว จินตนาการ และสิ่งที่เราไม่รู้จักได้มาเจอกัน
ผลงานภาพวาดสีน้ำมันที่ดลวาดด้วยแรงบันดาลใจ
    จากผีเสื้อชนิดพันธ์ต่างๆ


ตัวหกขามีเขา

ด้วงกว่างสามเขา ภาพถ่ายที่ดลบันทึกได้ตอนจะบิน
    แมลงหกขามีปีกบินได้ใช่ว่าจะคล้ายกันหมด แมลงแต่ละชนิดมีความพิเศษเฉพาะตัวหลากหลายมาก นับจากประสบการณ์กับ หนอน ผีเสื้อ แมลงปอ มด ตั๊กแตน มวน และอีกหนึ่งในนั้นคือด้วง(Beetle) กลุ่มจำพวกแมลงที่เด็กๆหลายๆคนมักหลงไหลเพราะลักษณะพิเศษของมัน อวัยวะที่ยื่นออกจากส่วนหัวคล้ายเขาของตัวผู้ ซึ่งจะมีรูปทรงแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิดเช่น ด้วงคีมฟันเลื่อยจะมีเขายื่นเหมือนปากคีมและมีลักษณะฟันเลื่อยอยู่ด้านใน หรือด้วงคีมยีร้าฟจะมีเขายื่นและยาวมากเป็นต้น
ด้วงกว่างสามเขาตัวโต
  ดลกับแดนรู้ว่าด้วง(beetle)มีปีกแข็งคู่ชั้นนอกและปีกใสคู่ชั้นในไว้กระพือบินเพราะได้เห็นมากับตาจากการรอจังหวะถ่ายภาพตอนที่ด้วงกว่างสามเขาตั้งท่าจะบินพร้อมกางปีกแข็งและกระพือปีกใส ชูสามเขาขึ้นตั้งตามส่วนหัว  ผิวเปลือกดำมันแว็บเหมือนเสื้อเกราะนักรบที่มีโครงสร้างร่างกายประกอบไปด้วยข้อต่อที่เป็นปล้องๆ ด้วงกว่างสามเขาจึงเป็นแมลงตัวสำคัญอีกตัวหนึ่งที่ดลขออนุญาตินำกลับมาเลี้ยงเพื่อศึกษาวงจรชีวิต
ระยะเป็นตัวหนอนขนาดกลางของหนอนด้วงคีม
ระยะเข้าดักแด้ของหนอนด้วงคีม
ด้วงคีมตัวเมียเพิ่งออกจากดักแด้
เวลาของหนอนด้วง
  เมื่อการผสมพันธ์ของด้วงกว่างสามเขามาถึงเวลาวางไข่ในดินสำหรับเพาะเลี้ยงซึ่งต้องคอยควบคุมความชื้นและอุณหภูมิให้พอเหมาะจนกลายเป็นตัวหนอนขนาดเล็กจนถึงระยะโตเต็มที่ หนอนด้วงจะฝังตัวอยู่ในดินที่มีส่วนผสมของขี้เลื่อยและอึควายแห้งซึ่งต้องระมัดระวังเชื้อราเป็นพิเศษ ดลต้องคอยเปลี่ยนดินเพาะเลี้ยงและวัดขนาดตัวหนอนอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งนับว่าต้องมีความมุ่งมั่นและอดทนสูงมาก ในกระปุกดินมีหนอนด้วงฝังตัวเติบโตจนสร้างเบ้าดินหุ้มตัวเองเข้าดักแด้จนออกมาเป็นด้วงกว่างสามเขาตัวเต็มวัยนั้น ต้องใช้เวลาถึงสิบสองเดือน ซึ่งตัวดลเองก็ต้องเติบโตขึ้นอีกหนึ่งขวบเช่นกัน มีด้วงบางชนิดที่ใช้เวลาสำหรับวงจรชีวิตนานถึงสี่ปี เช่นด้วงกว่างซางเหนือ...

ด้วงคีมเนื้อทราย

แมลงสัตว์เลี้ยง
  จึงไม่น่าแปลกใจนักที่การเลี้ยงด้วงได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่นักเลี้ยงทั้งรุ่นเด็กและรุ่นผู้ใหญ่เพราะต่างหมายปองด้วงสวยแปลกหลากหลายชนิด ด้วงกว่างเฮอร์คิวลิสมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจากดินแดนแถบอเมริกาใต้และอีกหลายชนิดที่กลายเป็นของมีค่าสำหรับนักสะสม ในสังคมออนไลน์เครือข่ายอินเตอร์เน็ต จึงมีการค้าขายอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกในการเลี้ยงด้วง อาทิเช่น ดินสูตรพิเศษสำหรับหนอนด้วงชนิดต่างๆ เจลลี่อาหารเสริมสำหรับด้วง รวมถึงฟาร์มเพาะพันธ์ด้วงชนิดพันธุ์ต่างๆที่หายากจากทั่วโลกรวมถึงข้อมูลเฉพาะด้านสำหรับด้วงแต่ละสายพันธ์
     ดลกับแดน ถึงกับต้องออกปากอยากซื้อด้วงมาเลี้ยงดูบ้าง เราจึงต้องทำความเข้าใจและมีข้อตกลงร่วมกันก่อนที่จะศึกษาด้วงกันด้วยวิธีนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรามาก.เวลานั้น
ด้วงดอกไม้จุดดาวใหญ่ชอบมากินชมพู่หน้าบ้าน
ด้วงดอกไม้มันบ้าน
สองพี่น้องกำลังขนท่อนไม้ผุที่ทุ่งหลังบ้าน
ดลกำลังตรวจดูท่อนต้นหมากทุกซอกมุม
ใช้แปรงพู่กันค่อยๆปัดดูรูร่องรอยหนอนด้วง
 ดลและแดนช่วยกันตัดเลื่อยไม้ท่อนใหญ่
สำรวจด้วงตามขอนไม้ผุ
     อย่างไรก็ตาม ทุ่งหลังบ้านก็ยังเป็นแหล่งสำรวจธรรมชาติที่มีคุณค่ายิ่งกว่าสำหรับเด็กๆ  ดลและแดนเดินตามหาขอนไม้ผุที่ทุ่งรกร้างแห่งนี้ ด้วงหลายชนิดทำหน้าที่ช่วยย่อยสลายซากไม้ผุชิ้นโต อาศัยขอนไม้ผุเป็นแหล่งอาหารและเจาะชอนไชย่อยเนื้อไม้ ดลมองหาท่อนไม้ผุและสังเกตุร่องรอยอึหนอนด้วง(เม็ดเล็กกลมดำๆ) ค่อยๆงัดแงะเปิดเปลือกไม้ดู ใช้แปรงพู่กันปัดฝุ่นผงค้นหารูร่องรอยของหนอนด้วงที่ฝังตัวอยู่ ทั้งสองพบทั้งหนอนด้วงและตัวเต็มวัยของด้วงดอกไม้จุดดาวใหญ่จึงช่วยกันเก็บบางส่วนมาเลี้ยงอย่างระมัด
ระวัง พ่อจำได้ว่ามีช่วงเวลาหนึ่งที่ชมพู่หน้าบ้านออกลูกเต็มต้น
ดลจะปีนขึ้นต้นหายไปทุกเช้าแต่ไม่ได้ไปเก็บชมพู่หรอก ดลเก็บเอาด้วงดอกไม้ลงมาจัดการเพาะพันธ์ุจนออกมาเป็นตัวเต็มวัย แล้วปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ ดลบอกว่าอยากให้แถวบ้านเรามีด้วงเยอะๆ


   ระหว่างต้นชมพู่ที่ปลูกไว้หน้าบ้านกับซากไม้ผุที่ทุ่งรกร้าง แม้ถนนหนทางผ่าแบ่งให้พื้นที่ถูกตัดขาดออกจากกันด้วยเหตุผลใดก็ตาม ระบบธรรมชาติจะหาทางเชื่อมต่อปรับสภาพให้เกิดการเกื้อหนุนและฟื้นฟูความสมบูรณ์ที่หลากหลายให้กลับคืนมาในรูปแบบที่เราไม่คาดคิด การทำความรู้จักธรรมชาติจึงสำคัญแม้ว่าบางครั้งจะถูกรบกวนด้วยความซุกซน อยากรู้ยากเห็น แต่ก็ยังดีกว่าการไม่ใส่ใจใยดี และไม่เคารพต่อระบบธรรมชาติเลย

 ด้วงหลายชนิดในภาพเพ้นท์ของแดน
 ซากด้วงที่ดลเคยเลี้ยงทำการเตรียมอบแห้งเพื่อเก็บรักษาไว้
ภาพวาด ศึกษาด้วง และบันทึกความรู้เกี่ยวกับด้วงโดย ดล

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ทุ่งรกร้างพื้นที่สีเขียว

 
ทุ่งรกร้างในช่วงหน้าหนาวยังคงความเขียวพอดี เห็นสุเหร่าบ้านม้าชุมชนดั้งเดิมและมีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์วิ่งลอยฟ้าอยู่บนทางรถไฟสายตะวันออก

    บ้านของเราอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรเก่าแก่ พอที่จะมีพื้นที่สีเขียวให้ลูกเล็กๆ ได้เริ่มเรียนรู้สัมผัสธรรมชาติได้จากที่นี่ ย้อนเวลาไปเมื่อประมาณสามสิบกว่าปีมาแล้ว สองข้างทางบนถนนพัฒนาการยังเป็นทุ่งนาและเรือกสวน มีคูคลองเล็กๆพาดผ่านเชื่อมต่อกับคลองประเวศบุรีรมณ์ ซึ่งเป็นคลองหลักที่หล่อเลี้ยงพื้นที่สีเขียวเพื่อทำการเกษตรตามวิถีชุมชนมุสลิมดั้งเดิม แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่จัดสรรสำหรับคนเมืองไปหมดแล้ว สำหรับดลและแดนยังโชคดีที่ยังได้สัมผัสธรรมชาติจากทุ่งรกร้างนี้่เพราะเป็นโครงการบ้านจัดสรรที่ล้มละลายจากพิษฟองสบู่เมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ทุ่งรกร้างแห่งนี้จึงถูกเชื่อมต่อไว้ด้วยถนนคอนกรีตจากหมู่บ้าน เราสามารถปั่นจักรยานลัดเลาะทะลุไปถึงทางรถไฟสายตะวันออก ซึ่งปัจจุบันมีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์วิ่งลอยฟ้าอยู่ข้างบนด้วย

ดลและแดนกับต้นฉำฉาคาคบผุ จุดนัดพบกลางทุ่งรกร้าง

หมุนเวียนเปลี่ยนฤดู
     พื้นที่รกร้างจึงปกคลุมไปด้วยพืชคลุมดินไม้เลื้อยหลายชนิด ที่เด็กๆได้รู้จักมักคุ้น เช่น มัยราพ กะทกรก สบู่เลือด ครอบจักรวาล มะก่องข้าวและต้นธูปฤาษี เพราะทุกเช้าเราจะเริ่มต้นเรียนรู้กับลูกกันที่นี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้เบื่อ เมื่อฤดูหมุนเวียนเปลี่ยนกลับมาที่เดิม เด็กๆจึงสังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้น ต้นฉำฉาผลัดใบเขียวชะอุ่มในหน้าฝนค่อยๆโรยราร่วงหล่นในหน้าแล้งเหลือให้เห็นแต่คาคบต้นไม้แห้ง ไม้เลื้อยนานาชนิดจึงแห้งแล้งตามไปด้วย จากพื้นที่ชุ่มน้ำในหน้าฝนจึงเต็มไปด้วยทุ่งต้นธูปแห้ง ความหลากหลายของแมลงหลายชนิดที่เด็กๆเคยสำรวจลดน้อยลง จะเหลือไว้ให้เห็นก็ตรงที่คบไม้ผุหรือตอไม้แห้งซึ่งชุกชุมไปด้วยรังแตน ดลเองเคยได้รับประสบการณ์จากการต่อยของแมลงไม่มีเหล็กไนชนิดนี้มาแล้ว ระบบนิเวศน์อันน้อยนิดของที่นี่ราวกับว่าจะหยุดนิ่งอยู่ตรงที่ช่วงเวลาที่แล้งสุด ทุ่งหญ้าแห้งโล่งเตียนเปลี่ยนโทนเป็นสีน้ำตาลจากเศษซากพืชทับถมเป็นปุ๋ยดิน  รอเวลาฝนตกลงมาอีกครั้งชุบชีวิตให้สีเขียวได้ผลิบานพร้อมจะเติบโตขยายพันธ์แบบโยงใยกันเป็นลูกโซ่ตั้งแต่พืชอาหาร หนอน แมลง และนก รวมถึง จุลชีวิตอื่นๆ

 "จุดนัดพบ"ภาพเพ้นท์ที่พ่อวาดจากภาพเสก็ตดลแดนและพ่อโดยดล ซึ่งมีทุ่งรกร้างและคาคบผุกับนกที่อยากเจอเป็นฉากของเหตุการณ์

 นกกระจาบธรรมดาสานรังอย่างประณีต
 นกจาบคาหัวเขียวบินมาพร้อมลมบนหน้าหนาวมักจะเห็นโฉบบินกินแมลงปอ
  นกอีวาบตั๊กแตนส่งเสียง ปี๊-ปี๊-ปี๊ปี๊-ปี๊ๆๆๆๆ ไปไกลลั่นทุ่ง
 นกกะติ้ดขี้หมูกำลังเก็บกินเมล็ดดอกหญ้า
นกกระจิบหญ้าสีเรียบ

"จุดนัดพบ" ภาพเพ้นท์ติ้งของดล ต้นไม้จุดนัดพบของนกนานาชนิด
จุดนัดพบ
     กลางทุ่งโล่งมีต้นฉำฉาเป็นคาคบให้นกหลายชนิดมาเกาะโชว์ตัวให้เห็นจากระยะไกล เป็นจุดนัดพบที่เราต่างคาดหวังว่าเช้านี้เราจะได้ทักทายกับนกชนิดใดบ้าง ไม่นับนกบ้านที่ทักทายกันเป็นประจำเช่น นกเขา นกเอี้ยง นกปรอด นกอีแพรดและนกกระจอก ช่วงหน้าฝนจนถึงปลายฤดูจึงรู้กันว่านกกะยางจะคอยย่องจับปลา ฝูงนกปากห่างบินลงขบเปลือกกินหอยเชอรี่ตามแอ่งน้ำก่อนที่จะแห้งผากลาหน้าฝนไป พอถึงต้นฤดูหนาวเสียงร้อง "แช้ก-แช้ก-แช้ก" จากนกอีเสือสีน้ำตาลเป็นสัญญาณบอกเวลาของลมหนาวพัดผ่านมาพร้อมนกจาบคาหัวเขียวที่บินว่อนร่อนวนส่งเสียงร้อง"ริริบ ริริบ".... บนท้องฟ้ากลางทุ่ง ดลและแดนจะสังเกตุเห็นนกอพยพผ่านมาที่นี่ตามเวลาของทุกปี นอกจากนี้ยังมีนกกระจาบธรรมดาคอยสานรังด้วยเส้นใบต้นธูป และกระจิบหญ้าสีเรียบสานรังเป็นถุงห้อยอยู่ท่ามกลางดงต้นธูปก่อนหน้าฝนตกชุก นกหลายชนิดบินผ่านมาเกาะพักสังเกตุการณ์ธรรมชาติที่ต้นนี้

  ดลในบังไพรหน้าต้นไม้จุดนัดพบก่อนที่จะเจอฝูงวัว

ฝูงวัวที่เดินผ่านมาพบกับบังไพรสีเขียวดูแปลกตาจึงทักทายเสียหน่อย 

เมื่อวัวล้อมตอนดูนก
          ดลเคยชวนพ่อไปทำบังไพรเพื่อเฝ้าดูนกอย่างไกล้ชิด เราออกไปเฝ้ากันแต่เช้ามืดก่อนนกมา เช้าวันนั้นดลยังไม่ทันเจอนกแต่กลับต้องตื่นเต้นตกใจเมื่อรอบๆบังไพรถูกล้อมรอบไปด้วยฝูงวัวของบังหวัง วัวบางตัวยื่นจมูกเข้ามาดมๆอยู่นานแล้วจึงค่อยๆแยกย้ายจากออกไปกินหญ้าตามท้องทุ่ง นี่อาจเป็นปมประทับอีกรอยหนึ่งที่ทำให้ดลรู้สึกเข็ดขยาดไม่อยากเข้าใกล้ฝูงวัวตัวโตตั้งแต่นั้นมา จนน้าเกรียงชักเอะใจเมื่อถึงคราวชวนดลไปเฝ้าดูฝูงกระทิงที่เขาแผงม้า ทำให้เราได้เรียนรู้ว่ามีจุดพลิกผันที่เกิดขึ้นได้จากห้องเรียนธรรมชาติด้วยเช่นกัน

หน้าฝนท้องทุ่งจะกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ

ลานเสาเข็มร่องรอยโครงการจัดสรรพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับคนเมือง

     รังแตนมีอยู่ทั่วไปตามคบไม้ผุที่เด็กๆต้องระมัดระวัง 

"บังหวังนักเลี้ยงวัวมืออาชีพ

  ทุ่งหญ้าก่อนหน้าแล้ง ดลแดนชวนเพื่อนมาสำรวจมด

นกกะเต็นอกขาวติดตะข่ายดักนกเขาของคนใจร้ายดลแดนช่วยกันตัดตะข่ายแต่ช่วยไม่ทัน

 นกปากห่างมองหาหอยเชอรี่ตามแอ่งน้ำ

    ฝูงนกกะยางสีขาวปลอด

ชมภาพเพิ่มเติมจากท้องทุ่งพัฒนาการ