วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สำรวจแมลงปอ


ภาพแมลงปอบ้านเสือเขียวเกาะเกี่ยวผสมพันธ์กันและภาพแมลงปอเข็มกำลังเกาะงับจับกินยุงอาจเป็นภาพที่หาดูได้ไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ยากนักหากรู้จักสังเกตุและติดตามดูสรรพสิ่งรอบตัวที่เป็นไป นี่คือวิถีของสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เกิดดำเนินขึ้นอยู่รอบๆตัวเรานี้เอง ภาพบันทึกเหล่านี้เป็นปมดึงดูดการสำรวจสิ่งมีชีวิตเล็กๆในธรรมชาติของวัยเด็ก  เมื่อครั้งที่เด็กๆ เริ่มต่อยอดความสนใจในธรรมชาติจากบรรดาสัตว์หกขาที่เรียกว่าแมลง ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีปริมาณและจำนวนชนิดหลากหลายมากที่สุด การทำความรู้จักกับแมลงหลากหลายชนิดจึงถูกแบ่งเป็นกลุ่มชนิดใหญ่ๆ อาทิเช่น ผีเสื้อ ตั๊กแตน ด้วง มวน มด ผึ้ง ต่อแตน ฯลฯ แมลงปอก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีลักษณะโครงสร้างรูปทรงแตกต่างจากแมลงกลุ่มอื่นๆ แมลงปอหลายชนิดพันธ์มีสีสันหลากหลายแบ่งเป็นสองอันดับย่อยได้สองกลุ่มคือ แมลงปอเข็ม Damselfly และแมลงปอธรรมดา Dragonfly ทั้งสองกลุ่มมีวงจรชีวิตที่เชื่อมต่อกันระหว่างในนำ้บนบกและอากาศ แมลงปอจึงมีเรื่องราวที่น่าติดตามสืบค้นเหมาะสมสำหรับเด็กๆในวัยโตพอที่จะออกสำรวจธรรมชาติ
ปมประสบการณ์
จากเส้นทางปั่นจักรยานที่พ่อพาเด็กสองคนปั่นกันเป็นประจำ ไปจนสุดทางถนนของหมู่บ้านร้าง ลัดเลาะต้นมะขามเทศที่หลงเหลืออยู่ออกไปเจอทางรถไฟสายตะวันออกและจนถึงวันนี้มีรถไฟลอยฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์วิ่งพาดผ่านพาความเจริญรุกคืบเข้ามาอีกครั้ง สภาพแวดล้อมแถวนี้ถึงแม้จะมีซากปรักหักพังจากการสร้างไม่เสร็จและกองขยะประปรายตามสุดทางถนนคอนกรีต แต่ก็ยังเป็นห้องเรียนธรรมชาติให้เด็กสองคนเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี ตรงข้างทางรถไฟเลียบยาวไปสุดลูกหูลูกตา มีเส้นทางให้ปั่นลัดเลาะตามแนวทางเดินที่ไม่ค่อยมีคนผ่านสัญจรมากนักนอกจากฝูงวัวที่ยังมีคนเลี้ยงอยู่แถวนี้ ไมยราพยักษ์ยังขึ้นรกชันทั้งสองข้างทางเลยมาจนมาถึงบริเวณทางรถไฟมีคูน้ำวิ่งคู่ขนานไปเจอกับคลองเล็กๆข้างหน้า พื้นที่รกร้างเหล่านี้เปิดโอกาสให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูเมื่อถึงหน้าฝนและเด็กๆก็ได้มีโอกาศเฝ้าสำรวจเรียนรู้ธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล โดยเฉพาะเมื่อถึงหน้าฝน มีแหล่งน้ำขังมากมายที่ดลมักเจอแมลงปอ ด้วยความสงสัยว่าทำไมมันชอบบินวนเวียนอยู่แถวแหล่งน้ำ จึงนั่งเฝ้าสังเกตุดูอยู่บ่อยๆ ตามคำบอกเล่าจากน้าเกรียงคุณครูห้องเรียนธรรมชาติของเด็กๆ บอกว่าแมลงปอมักจะบินเอาปลายหางจุ่มหาแหล่งน้ำที่เหมาะสมสำหรับการวางไข่ แมลงปอวางไข่ในน้ำเติบโตเป็นตัวอ่อนจนถึงเวลาขึ้นมาลอกคาบแปลงกายเป็นแมลงปอ มันคือตัวห้ำแมลงนักล่าที่สามารถไล่จับงับแมลงกินกลางอากาศ ซึ่งเราจะหาโอกาศดูได้ไม่ยากนัก สำคัญตรงที่ดลและแดนยังไม่เคยเห็นเหตุการณ์ตอนแมลงปอไล่งับแมลงกลางอากาศเลยสักครั้งจึงพยายามติดตามดู
ประสบการณ์สำคัญ
เป็นโอกาศสำคัญที่จะได้เห็นโลกธรรมชาติในมิติที่เล็กลงไป เพื่อพบปะกับความมหัศจรรย์ได้มากขึ้น กิจกรรมสำรวจแมลงปอโดยน้าเกรียงและครอบครัวควบกล้ำฯ จึงได้เริ่มกระบวนสำรวจแมลงปอในพื้นที่ต่างๆ โดยเริ่มจากพื้นที่รกร้างหลังบ้านตามแหล่งน้ำขัง คู คลอง หนองบึง ไปจนถึงลำห้วยโกรกอีดก และในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เราพบว่า ณ.รอบๆตัวเราล้วนแล้วแต่มีสิ่งมีชีวิตพึ่งพาอาศัยกันไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นเช่นไร...จากแหล่งนำ้ขังหลังบ้านมีตัวอ่อนแมลงปอบางชนิดอาศัยอยู่ได้ด้วย ดลและแดนทดลองจับใส่โหลมาเลี้ยงศึกษาดูพฤติกรรมการกินอาหารและการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบไม่สมบูรณ์ Incomplete Metamophosis ไม่เหมือนกับผีเสื้อคือไม่ต้องเข้าดักแด้  การสำรวจของเด็กๆจึงต้องอาศัยการเฝ้าสังเกตุอย่างต่อเนื่องจึงจะเข้าถึงโลกอันเร้นลับ การบันทึกร่องรอยองค์ความรู้ที่เขาค้นพบสำรวจด้วยตัวเอง จะช่วยให้การสำรวจนั้นเห็นภาพชัดและดำเนินไปอย่างต่อเนื่องมากขึ้น เมื่อครั้งที่ตัวอ่อนแมลงปอค่อยๆไต่เกาะกิ่งไม้ขึ้นจากน้ำ พร้อมที่จะแปลงกายลอกคราบเป็นตัวเต็มวัยซึ่งต้องใช้เวลาที่ยาวนานหลายชั่วโมง แต่ก็ต้องเจอกับอุปสรรคเมื่อมีความพยายามของมดว่ายนำ้ไต่ข้ามมาเจาะเกาะกินจนตัวอ่อนแมลงปอสิ้นชีวิต เด็กๆมักได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่ไม่คาดคิดจากธรรมชาติเสมอ ปมสำคัญของการสำรวจของเด็กๆอาจต้องการแค่ภาพเหตุการณ์ของตัวอ่อนแมลงปอแปลงร่างเป็นตัวเต็มวัยเท่านั้น แต่ผลพวงจากกระบวนการสำรวจมักทำให้เกิดการเรียนรู้ซึมซับความรู้และข้อมูลจากระบบธรรมชาติไปด้วยเสมอ
สื่อบันทึก
ภาพสำคัญและปมประสบการณ์อาจเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้แรงบันดาลใจของเด็กๆและพ่อแม่คุกรุ่นอย่างต่อเนื่องและยาวนานพอที่จะ ซึมซับเรื่องราวธรรมชาติเข้าสู่วิถีชีวิตประจำวัน แม้ว่าความเจริญทางวัตถุจะคืบคลานเข้ามามากยิ่งขึ้นทุกที กลุ่มครอบครัวควบกล้ำฯเล็งเห็นถึงความสำคัญของสื่อบันทึก ร่องรอย ประสบการณ์สำรวจธรรมชาติ จึงได้ช่วยกันรวบรวมเรื่องราว ความรู้แมลงปอ กิจกรรมการสำรวจแมลงปอ รวมทั้งร่องรอยบันทึกของเด็กๆและครอบครัว ไว้ในหนังสือชุดประสบการณ์ห้องเรียนธรรมชาติชื่อ "แมลงปอ ถึงหยดน้ำสุดท้าย" สำหรับท่านที่สนใจจะนำไปใช้ประโยชน์ในกิจกรรมเรียนรู้ธรรมชาติ สามารถขอรับหนังสือได้โดยเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ http://www.doublenature.net/readarticle.php?article_id=22


วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บ้านนกหรือรังนก ?




ร่องรอย เรียนรู้จากภาพถ่ายและบันทึกของดล เมื่อประมาณ๕ปีที่แล้ว ทำให้ผมมองเห็นถึงจินตนาการของเด็กๆ ที่มีต่อโลกธรรมชาติที่ดำเนินไป และเมื่อใดที่การสำรวจเรียนรู้ธรรมชาติด้วยตัวเองได้เริ่มขึ้น การสืบค้นก็จะเดินหน้าและค้นหาคำตอบจากความสงสัย ใคร่รู้ ไขความเข้าใจที่มีต่อโลกธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว อย่างเป็นจริงเป็นจังโดยเฉพาะเรื่องราวของนก เด็กๆ มักจะคอยสำรวจสอดส่องมองหาไปทุกซอกมุมของทุกพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาในช่วงวัยอยากละเล่นการสำรวจ
                ผู้คนอาจทึกทักและเข้าใจเปรียบเปรยเอาว่ารังนกคือบ้านของนก  เมื่อรังนกเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ตามพื้นที่ต่างๆ  ทั้งง่ายดายและยากเย็น บางครั้งจึงถูกรบกวนอย่างจงใจและไม่จงใจคงเพราะเข้าใจว่าเป็นแค่บ้านแหล่งอาศัยของนก  น้าเกรียงและพ่อแม่กลุ่มครอบครัวควบกล้ำฯ จึงวางแผนกิจกรรมเรียนรู้ในห้องเรียนธรรมชาติด้วยการลงพื้นที่สำรวจศึกษารังนกตั้งแต่รอบๆบ้าน ในเมือง ตามท้องทุ่ง จนถึงในป่าธรรมชาติ เพื่อซึมซับประสบการณ์ทั้งการดูนก วงจรชีวิตและพฤติกรรมของนกแต่ละชนิดอย่างประณีต และถูกวิธี โดยเฉพาะการระมัดระวังมิให้เกิดปรากฏการณ์"นกทิ้งรัง" ทั้งยังช่วยกันถ่ายทำสารคดีให้เป็นเรื่องราวตอน"รังนกใช่บ้านนกจริงหรือ?"พร้อมกันไปด้วย


บันทึกจากแม่ของซี
น้าเกรียง คุณครูห้องเรียนธรรมชาติพาเด็กๆและพ่อแม่ไปสำรวจรังนกชนิดต่างๆ ในหลายพื้นที่ ตั้งแต่รังนกกระจาบธรรมดา ที่เพชรบุรี นกพญาปากกว้าง ที่แก่งกระจานและที่เขาใหญ่ นกขุนแผน นกจาบคาหัวสีส้ม ที่เขาใหญ่  รังนกกินปลีที่ราชบุรี ทำให้ซีและแม่กั้งได้เรียนรู้ว่ารังนกแท้จริงแล้วมีหลายชนิด หลากหลายรูปแบบ ทั้งบนต้นไม้ ในโพรงไม้ บนดิน และ  แม้กระทั่งในน้ำ ซีเกิดความสนใจเรื่องรังนกมากขึ้น หลังจากได้สำรวจรังนกและพฤติกรรมของนกมาหลายชนิด รังนกที่แม่กั้งและซีประทับใจมากที่สุดก็คือรังนกกระจาบธรรมดา ที่อยู่บนต้นไม้สูง เป็นงานศิลปะที่งดงาม น่าอัศจรรย์ มีความละเอียดประณีต พิถีพิถัน การบรรจงถักทอรังของนกกระจาบตัวผู้ เพื่อดึงดูดตัวเมียให้มาจับคู่กัน นกกระจาบจัดว่าเป็นนกที่มีความเพียรพยายามมาก โดยจะใช้จะงอยปากคาบเส้นหญ้ามาสร้าง สานรัง จนได้ฉายาว่า สถาปนิกนักสร้างรัง

นกนักถักสานทอรัง
รังนกทีถูกถักทอได้อย่างประณีตมหัศจรรย์มากที่สุดในบรรดานกทำรัง  จากการใช้ปากสอดเส้นหญ้าสานไปสานมาอย่างละเอียด ทีละเส้นจนได้ชื่อว่า เป็นนกนักถักสานทอรัง Baya Weaver เป็นชื่อสามัญของนกกระจาบทองธรรมดา แตกต่างกับรังนกกระจาบทอง  Golden weaver ซึ่งเป็นนกนักถักทออีกชนิดนึง ชอบทำรังตามดงหญ้าต้นธูปฤาษี ซึ่งจะสานรังเป็นรูปทรงกลมอย่างหยาบๆ  แตกต่างจากรังนกกระจาบธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด           
                นกกระจาบธรรมดาเป็นนกที่อยู่อาศัยรวมกัน ตามท้องทุ่งโล่งและอยู่รวมกันเป็นฝูง เมื่อถึงฤดูทำรังก็จะทำรังใกล้ๆ กัน 
การอยู่รวมกันก็จะช่วยกันป้องกันภัยอันตรายจากสัตว์ผู้ล่าได้เป็นอย่างดี  รังส่วนมากจะแขวนจากปลายยอดไม้ และมีทางเข้าทางด้านล่าง จะทำให้สัตว์ผู้ล่าไม่สามารถเข้าไปในรังได้ นกกระจาบตัวผู้ จะเริ่มสร้างรัง โดยการจิกฉีกใบต้นหญ้าธูปฤาษี  คาบออกมาเป็นเส้นนำมาพันปลายยอดอ่อนของต้นทำรัง  โน้มปลายยอดเข้าหากิ่ง  และพันสานกัน ให้เป็นวงกลมเล็กๆ และจะค่อยๆ สานถักทออย่างละเอียดจนเป็นรูปโดมที่ใหญ่ขึ้นห้อยจากปลายกิ่งลงมา โดยมีที่เกาะอยู่ด้านล่าง จากนั้นก็จะรอให้ตัวเมียเข้ามาเลือกเกาะ  ถ้านกตัวเมียตกลงเลือกรัง นกตัวผู้ก็จะสานต่อส่วนปลายปล่อง เป็นทางเข้ารังด้านล่างของโดมถือเป็นรังนกกระจาบที่เสร็จสมบูรณ์สำหรับให้ตัวเมียวางไข่ได้

ประสบการณ์ของดล
ตอนที่ผมยังเด็ก เริ่มสนใจดูนกโดยเฉพาะการถ่ายบันทึกภาพนกชนิดต่างๆ ซึ่งตอนนั้นทุกๆสิ่งรอบๆตัวผมดูน่าสนใจไปหมด แม้แต่การเฝ้าดูฝูงนกกระจอกที่บินมาหน้าบ้านหรือนกเขาบนเสาทีวี ล้วนแต่เป็นสิ่งที่น่าสนใจทั้งนั้นสำหรับผม ผมมีความตื่นเต้นและประทับใจมากที่สุดในตอนนั้น คือ เมื่อผมได้เจอรังนกไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนผมมักจะใช้เวลากับเฝ้าดูมันเป็นอาทิตย์ โดยตื่นแต่เช้ามาเฝ้าและบันทึกภาพเก็บใว้อย่างตื่นตาตื่นใจ ซึ่งการได้เฝ้าดูรังนกของผมนั้นมีสิ่งสำคัญที่ทำให้ผมประทับใจ เพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตเล็กๆที่ได้เกิดมา พร้อมกับได้เห็นแม่นกดูแลเอาใจใส่ลูกนกอย่างถะนุถนอม  จนบางทีทำให้ผมรู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งในนั้น แต่ ณ เวลานั้นผมคงทำให้ดีที่สุดโดยการเฝ้าดูอยู่ห่างๆ และปล่อยให้นกได้ใช้เวลาเลี้ยงดูลูกของพวกมันต่อไปให้ดีที่สุด...     

แม่หน่อยวาดบันทึก
วันนี้มานั่งปูเสื่ออยู่ข้างปั้มน้ำมันแถวท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี อยู่ครึ่งค่อนวัน เพราะมีโอกาสได้ตามเด็กๆ มาเฝ้านกกระจาบทำรัง..นี่ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ของเราที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ถึงจะเป็นแม่เกิดก่อนลูก ก็ใช่ว่าจะต้องรู้มากกว่าเด็กๆไปทุกเรื่อง บอกตัวเองเลยว่า โชคดีที่เราได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกับลูก ได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ได้ใช้ความอยากรู้อยากเห็น ให้กลายเป็นแรงบันดาลใจ ลงมือทำหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ต้องผลัดไปเหมือนแต่ก่อน ทั้งที่ธรรมชาติรอบตัวเรามีแต่เรื่องมหัศจรรย์รอให้เราตื่นตาตื่นใจเสมอ การได้นั่งวาดรูปวันนี้ก็เช่นกัน...กิ่งต้นสะแกหนึ่งกิ่งใหญ่นี้มีความหมายกับชีวิตของนกกระจาบฝูงนี้มาก...ทึ่งกับภาพตรงหน้าเหล่านกสถาปนิก  กำลังพากเพียรถักทอรัง เรากำลังนิ่งอยู่กับการเก็บรายละเอียดของรังแต่ละรัง ถ่ายทอดลงในสมุดบันทึกที่พกติดตัวมา การได้ใช้เวลาดีๆไม่ต้องจบลงด้วยงานที่เสร็จสมบูรณ์ก็ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาพเหล่านี้มันเตือนให้เราได้เห็นว่า ความสุขระหว่างทางเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ...ไม่รู้จบเพราะเราต่างก็ต้องเดินทางกันต่อ..ไป
สำคัญที่รังนก
แม้รังนกเป็นอีกหนึ่งสำคัญของนักดูนก...ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะรังนกเปรียบเสมือน วิหารที่ปกป้องการตั้งต้นชีวิต จากไข่สู่ตัวอ่อน โดยมีแม่นกคอยอนุบาลให้แข็งแรงพร้อมพอที่จะโบยบิน แต่ก็เป็นที่หมายปองของสัตว์อื่นๆ หรือแม้กระทั่งมนุษย์เรานี่เอง จะเพื่อความอยู่รอดหรืิอจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ณ.เวลาปัจจุบัน สถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่กำลังเปลี่ยนแปลง นกก็ยังทำหน้าที่ในระบบนิเวศน์อยู่เหมือนเดิม ขณะที่จำนวนชนิดการสูญพันธุ์ยังมีมากขึ้น และพื้นที่สีเขียวกำลังร่อยหรอลงทุกที การเรียนรู้เพื่อเข้าใจวงจรชีวิตที่ละเอียดอ่อนของนก ยิ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการมีสำนึกปกป้อง ดูแลธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกันอย่างจริงจัง

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วาฬมิใช่ปลา


วาฬมิใช่ปลานะลูก”....วลีนี้ทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศที่ได้ไปละเล่นกับเด็กอนุบาลในชั้นเรียนของเด็กชายดล สมัยที่เรียนในระบบโรงเรียนก่อนจะตัดสินใจออกมาทำบ้านเรียน เป็นความตื่นเต้นครั้งแรกในชั้นเรียนเด็กอนุบาล ผมไม่ได้เล่านิทาน ชาดก อีสปหรือเรื่องราวสอนใจเพราะรู้ถึงจุดอ่อนของตัวเองเลยหาตัวช่วยฉายภาพสัตว์กลุ่มต่างๆ ในธรรมชาติพร้อมเปิดเสียงร้องที่ทำให้หนูน้อยทั้งห้องอ้าปากหวอตกอยู่ในภวังค์แห่งจินตนาการธรรมชาติได้สำเร็จ เมื่อถึงคิวเสียงร้องของวาฬหลังค่อม คลื่นรหัสเสียงที่แปลกประหลาดแตกต่างไปจากสัตว์อื่นๆ จินตนาการของเด็กๆ พุ่งจดจ่อและดำดิ่งไปไกลถึงใต้ท้องทะเลด้วยอาการหลับตานั่งนิ่งไม่ไหวติง เรื่องราวในธรรมชาติมีพลังดึงดูดให้กับเด็กๆ หากได้รับรู้ว่าสรรพสิ่งรอบตัวล้วนแล้วแต่มหัศจรรย์ยิ่งนัก วาฬแหวกว่ายอยู่ในน้ำเหมือนปลาแต่มิใช่ปลาเพราะมีปอดหายใจ แถมยังให้นมลูกอยู่กลางทะเลอีกด้วย ความตื่นเต้นกับวาฬสีน้ำเงินเมื่อรู้ว่ามันเป็นสัตว์ที่ตัวโตที่สุดเทียบเท่ากับรถบรรทุกถึงสี่คัน มีน้ำหนัก 100-200 ตัน ข้อมูลชิ้นสำคัญที่ผมเชื่อมต่อส่งออกไปในวันนั้น อาจยังคงรอยประทับอยู่ในใจวัยเด็กของใครบางคน เช่นน้องอัลฟาที่เราพบกัน(จำได้ว่าเธอเป็นเด็กพิเศษที่เข้าร่วมชั้นเรียนในวันนั้น) ผมถามเธอ"จำได้มั้ย?" เธอตอบอย่างมั่นใจทันทีว่าจำได้...พ่อนกที่เล่าเรื่องวาฬสีน้ำเงินไงเธอจำผมได้เพราะวาฬสีน้ำเงิน
ดูวาฬครั้งแรก
สามปีที่แล้วกับความตื่นเต้นที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะได้เห็นวาฬ เมื่ออาจั๊กชวนพวกเรากลุ่มครอบครัวควบกล้ำ ฯ กับน้าเกรียงไปดูวาฬที่ ต.แหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี จากข่าวการพบวาฬบรูด้าที่เผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต เด็กๆ อยากเห็นวาฬตัวเป็นๆ  อยากเห็นบาลีนของวาฬเวลาอ้าปากมีปลากระโดด ฯลฯ ทันทีที่ไปถึงท่าเรือแหลมผักเบี้ย ดล แดน ซี จิโร่และเคน ต่างเตรียมกล้องบันทึกภาพ ด้วยความหวังว่าคงจะได้ภาพวาฬบรูด้า เรือวิ่งออกมาถึงจุดลอยรำอยู่กลางทะเลสักพักใหญ่ วนเวียนอยู่หลายจุดแต่ธรรมชาติกับความไม่แน่นอนมักเป็นสิ่งเดียวกันเราจึงพบกับทะเลที่ว่างเปล่า ความผิดหวังและความสนุกสนานมักเรียนรู้คู่กันไป การดูวาฬครั้งที่สองเป็นความพยายามที่ไม่ลดละของอาจั๊ก เมื่อวิทยุแจ้งเข้ามาเราจึงลงเรือทันที ลุงแดงพาเรือออกมาไกลจนไม่เห็นฝั่ง ทุกคนตื่นเต้นและเตรียมความหวังและผิดหวังไว้ระคนกัน ท่ามกลางความเงียบสงบกลางทะเลขณะที่แต่ละคนต่างจดจ่อ มีเสียงพ่นน้ำจากกาบซ้ายของหัวเรือห่างออกประมาณห้าสิบเมตรดังขึ้น เด็กๆวิ่งกรูกันไปที่หัวเรือ เห็นครีบหลังโผล่ขึ้นเหนือน้ำ พร้อมไอนำ้ที่กำลังจางหายจากลมหายใจออกของวาฬบรูด้า เป็นภาพประทับติดตาสำหรับประสบการณ์จากธรรมชาติของเด็กๆในครั้งนั้น

วาฬบรูด้า ๒๕๕๖
กระแสดูวาฬบรูด้ากำลังมาแรง เมื่อข้อมูลถูกเผยแพร่ให้คนไทยเรารู้จักวาฬบรูด้ามากขึ้น  ไม่ว่าในมุมส่งเสริมการท่องเที่ยวหรือในมุมของการอนุรักษ์ธรรมชาติ น้าเกรียงจึงนัดแนะพวกเราไปดูวาฬอีกครั้ง ดล แดน แก้ม ซี พอร์ท เคนและจีโร่ ขณะนี้กำลังย่างเข้าวัยรุ่นแต่ก็ยังค้างคากับวาฬบรูด้าที่แหลมผักเบี้ยอยู่ มาครั้งนี้มั่นใจได้ว่าจะได้สัมผัสวาฬบรูด้ากันแบบเต็มจอเสียที ณ. .บางตะบูน จ.เพชรบุรี เรือลุงจำรูญและลุงเล็กสองลำพาเราออกไปไกลประมาณชั่วโมงกว่า ถึงที่หมายปลากะตักกระโดดชุกชุม สักครู่วาฬบรูด้าตัวแรกโผล่ขึ้นมาต้อนปลากะตัก ดลบันทึกภาพได้แต่ลำตัวและครีบหลัง วาฬบรูด้า(Bryde's Whale)ตัวโตเต็มที่ยาวประมาณ 14-15 เมตร เป็นวาฬไม่มีฟันขนาดกลาง แต่มีซี่กรองอาหาร"บาลีนเพลท"ชอบหากินไกล้ฝั่งแถวชายฝั่ง เราตามฝูงปลากะตักที่กระโดดตามผิวน้ำ ถึงจุดชุกชมมีนกนางนวลบินโฉบอยู่ประปราย บรูด้าค่อยๆอ้าปากขากรรไกรขนาดยักษ์รองับฝูงปลากะตัก ท่ามกลางเสียงรัวชัตเตอร์กล้องและเสียงร้อง...อื้อหือ...โอ้โห...ผลัดกันเป็นระยะ ขณะที่มันว่ายต้อนฝูงปลากระตักเราตามไปดูห่างๆมันตีหางไปด้วย แวะงาบไปว่ายไปนับได้ประมาณหกตัว มีชื่อหลายชื่อที่น้าเกรียงรู้จักและสังเกตุเห็นตำหนิของแต่ละตัว เช่น แม่กันยา  แม่สาคร และเจ้าแตงไทย ฯลฯ ขณะนี้มีการจำแนกประชากรวาฬบรูด้าโดยมีการตั้งชื่อระบุตำหนิไว้แล้วถึง ๒๗ ตัว สำหรับการศึกษาพฤติกรรมการย้ายถิ่น การกินอาหาร การผสมพันธ์ุออกลูก โดยศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะลเและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน
ดลบันทึกวาฬ
ในตอนเด็กๆนั้น ผมมีความชื่นชอบวาฬซึ่งเป็นสัตว์ขนาดใหญ่แห่งท้องทะเล สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดมหึมาของมันทำให้ผมสนใจและอยากที่จะเห็นตัวจริงๆในทะเล แต่ ณ ตอนนั้นผมมองว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวมาก (อาจเป็นเพราะยังเด็ก และประมาณสิบปีที่แล้วยังมีการศึกษาวาฬในไทยน้อยกว่าปัจจุบันมาก รวมถึงวาฬที่ผมได้เห็นจากในสารคดีส่วนใหญ่เป็นวาฬจากต่างประเทศ) จนทำให้ผมละความสนจากวาฬไป…. จนช่วงหลังตอนผมโตขึ้น พ่อได้ชวนไปดูวาฬบรูด้า ที่ แหลมผักเบี้ย เป็นครั้งแรกของผมที่จะได้เห็นวาฬตัวจริง! ทำให้ผมตื่นเต้นมาก โดยครั้งนั้นผมได้ใช้เวลากว่า ๓ ชั่วโมงในการตามหาวาฬอยู่ในทะเล แต่กลับไม่เจอวาฬซักตัว  ต่อมาไม่นานผมได้กลับมาตามหาวาฬที่นี่อีกเป็นครั้งที่ ๒ ได้เห็นวาฬบรูด้าตัวจริงๆ ถึงแม้ว่ามันโผลขึ้นมาไม่กี่ครั้ง แต่มันก็ทำให้ผมประทับใจมาก และครั้งล่าสุดผมได้มีโอกาศไปดูวาฬที่ บางตะบูน เป็นครั้งที่ผมได้ดูและถ่ายภาพวาฬบรูด้าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ พฤติกรรมการหากินของวาฬแม่ลูกคู่หนึ่ง และทีประทับใจที่สุด คือการที่ได้เห็นวาฬกระโดดขึ้นเหนือน้ำ ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามมาก แม้ว่าผมจะไม่สามารถถ่ายรูปใว้ได้ทัน แต่ภาพนี้ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ....
ร่ายรำและร่ำลา
วาฬบรูด้าเริ่มทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ จนถึงฉากสุดท้าย ขณะที่บางคนกำลังละความสนใจไปแล้ว เธอกระโดดตัวขึ้นลอยเหนือนำ้และบิดตัวกระแทกกับผิวนำ้เกิดฟองกระจายขาวท่ามกลางนำ้ทะเลสีเข้ม แก้มบันทึกได้ทันแค่ฟองกระจาย ดลเห็นมันกับตาแต่ไม่ทันบันทึกภาพ ผมทึกทักเอาว่ามันคือการรำ่ลาทีร่ายรำความสนุกสนานหลังหม่ำปลากะตักมาพักใหญ่ เหมือนกับจะบอกกับเราว่า "อิ่มแล้ว..ไปแล้วจ้าแล้วเจอกันใหม่" บรููด้าทิ้งรอยประทับฟังลึกไว้ให้กับผู้พบเห็น ส่งสัญญาณบอกให้เราสำนึกถึงระบบนิเวศน์ทางทะเลที่ยังคงพออุดมสมบูรณ์ตราบใดที่ประชากรครอบครัววาฬบรูด้ายังมีความสุขเริงร่าอยู่ได้ในทะเล เรายิ่งต้องให้ความสำคัญในการดูแล ปกป้องกับทะเลอ่าวไทยตอนบน อย่างจริงจังและเป็นระบบมากขึ้น

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อาณาจักรมด

สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่มีระบบสังคมที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน โดยเฉพาะวงจรชีวิตที่มีมดนางพญาเป็นศูนย์กลางควบคุมระบบชีวิตทั้งอาณาจักร โดยมีมดวรรณะต่างๆ ช่วยกันทำหน้าทีภารกิจที่แตกต่างกันเมื่อกลุ่มเด็กๆ ที่สนใจธรรมชาติเป็นทุนเดิม กลับมาสนใจศึกษามดอย่างจริงจัง คงเป็นเพราะกลไกในการสร้างอาณาจักรของมดนั้นน่าติดตามสังเกตการณ์ และเรื่องราวจากมดตัวเล็กๆ นี่เองที่เราได้รับอานิสงค์จากองค์ความรู้ที่เก็บเกี่ยวได้จากการศึกษาวิจัยมดไม่เฉพาะแค่ด้านชีววิทยาเท่านั้น ในการศึกษาพฤติกรรมมดนั้นได้ถูกต่อยอดไปถึงแวดวงปัญญาประดิษฐ์  เมื่อ Ant colony optimization การศึกษาพฤติกรรมการหาอาหารในเส้นทางที่สั้นที่สุดของมดได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหาการจัดการด้านต่างๆที่ให้ประสิทธิภาพสูงกว่า หากเรากลับไปดูองค์ความรู้ต้นทางพบว่ามดในประเทศไทยที่ค้นพบแล้วมีอยู่ประมาณ 1,000 ชนิดแต่สามารถระบุชนิดได้เพียง 300 ชนิดซึ่งนับว่าน้อยมาก ในขณะที่ทั่วโลกมีมดที่จำแนกชนิดแล้วประมาณ 15,000 ชนิด นี่อาจเป็นส่วนลึกๆที่ผมรู้สึกเป็นสุขขึ้นมาทุกครั้งที่เห็นกลุ่มเด็กๆ สนใจสำรวจศึกษามด


ธรรมชาติบนธรรมชาติ
            ในขณะเดียวกันจุดสำคัญของผมมาอยู่ตรงที่ธรรมชาติการเรียนรู้ของกลุ่มเด็กๆที่รักธรรมชาติซึ่งกำลังเติบโตเป็นวัยรุ่นและกำลังมีพัฒนาการด้านต่างๆ ที่เริ่มเปลี่ยนแปลง รวมถึงวิถีเรียนรู้ธรรมชาติของเขาด้วย  การมีส่วนร่วมในการละเล่นเรียนรู้ของผมกับลูกจะค่อยๆ ถอยห่างมาเป็นแค่ผู้สังเกตุการณ์และเอื้ออำนวยเท่านั้น

            เมื่อดลกับแอมเด็กชายชอบมด   มาบรรจบพบเจอกันในสังคมเครือข่ายเฟสบุค บนหน้าเพจกลุ่มสนใจมดด้วยกัน ด้วยวัยรุ่นราวคราวเดียวกัน  ดลและแอมได้นัดหมายเจอกันเพื่อสำรวจมดกันครั้งแรกที่พิพิธภัณฑ์มด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  และครั้งต่อจากนั้นจึงนัดกันเดินทางไปสำรวจมดที่เมืองกาญจนบุรีเป็นประสบการณ์การเดินทางด้วยรถไฟตามลำพังสองคน ผมเองอยากติดตามไปสังเกตการณ์เรื่องราวของเด็กในบางจุด แต่ในหลายๆโอกาศที่เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ  ผมชวนดลไปเที่ยวที่บ้านของแอม ซึ่งแอมเองมักเปรยให้เราฟังบ่อยๆว่า"แถวๆบ้านผมไม่มีธรรมชาติให้หลงเหลือไว้แม้ตารางนิ้วเดียว" บ้านแอมอยู่ในซอยสลับซับซ้อนแถววงเวียนยี่สิบสอง บนถนนเยาวราช แต่ก็มีห้องไว้เพาะเลี้ยงมดและสัตว์อื่นๆที่แอมสนใจ ต่อจากนั้นดลก็ชวนกันมาสำรวจมดที่ทุ่งรกร้างหลังบ้าน แอมนั้นชอบธรรมชาติมาตั้งแต่เด็กไม่ว่า นก หนอน แมลง  กบ เขียด กิ้งก่า และธรรมชาติทั้งหมด  ด้วยใจรักธรรมชาติเป็นความชอบดั้งเดิม แม้สภาพแวดล้อมที่บ้านไม่เป็นใจมากนัก แอมมักจะดั้นด้นไปถึงพื้นที่ธรรมชาติด้วยตัวเอง เด็กชายทั้งสองจึงมีกิจกรรมสำรวจศึกษามดที่ทุ่งหลังบ้านร่วมกันและพบมดหลากหลายชนิดที่ทุ่งรกร้างแห่งนี้

เมื่อดลบันทึกเกี่ยวกับมด
มดเป็นแมลงที่ผมเคยสนใจมาตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนนี้ผมได้กลับมาสนใจอีกครั้ง ซึ่งทำให้ผมได้มีโอกาสศึกษาและเรียนรู้อย่างจริงจังมากขึ้น  ทั้งจากการเลี้ยง ดูพฤติกรรมและการสำรวจในธรรมชาติ มดเป็นแมลงที่อยู่กันเป็นสังคมที่น่าสนใจมากกลุ่มหนึ่ง แมลงกลุ่มนี้มีพฤติกรรมการอยูอาศัยแบบมีสังคมวรรณะโดยมีนางพญาเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรทำหน้าที่ออกไข่และสั่งงานให้กับมดงานตัวอื่นๆให้ทำหน้าที่ดูแลตัวอ่อน,หาอาหาร,ขุดสร้างรังก่อนที่จะเป็นรังมดทั้งรัง จากนางพญามดเพียงตัวเดียว เมื่อบินขึ้นไปผสมพันธุ์กับมดตัวผู้สำเร็จก็จะหาพื้นที่เหมาะสมสำหรับวางไข่และทำรังในอนาคต เมื่อนางพญาวางไข่ออกมาจำนวนหนึ่งมันจะเฝ้าดูแลไข่เหล่านั้นจนออกมาเป็นมดงานชุดแรก มดงานเหล่านี้จะคอยหาอาหารและดูแลไข่และตัวอ่อนชุดต่อๆไปจนมดงานเพิ่มจำนวนประชากรในรังให้มากพอ ก็จะเริ่มวางไข่มดนางพญาและมดตัวผู้ออกมาเพื่อขยายพันธุ์และสร้างรังใหม่ นี่เป็นเพียงวงจรการขยายพันธุ์โดยย่อของอาณาจักรมด ซึ่งผมได้มีโอกาสศึกษาและทดลองเลี้ยงมด ทำให้ผมได้เห็นรายละเอียดในพฤติกรรมของมัน ทั้งในการวางไข่ การเลี้ยงดูตัวอ่อนแต่ละตัวที่ต้องใช้ความอ่อนโยนละเอียดอ่อนมาก  จนถึงพฤติกรรมในการล่าเหยื่อที่เต็มไปด้วยความดุร้ายซึ่งถูกรวมกันไว้ในสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ มันอาจเป็นแค่เรื่องราวเล็กๆในธรรมชาติ  หากเพียงแค่เราลองให้เวลาศึกษาเฝ้าดูมด เราจะพบกับอาณาจักรมดที่ไม่เล็กอย่างที่คิด

การเลี้ยงมดของแอม

ผมเริ่มเลี้ยงมดจากนางพญาตัวเดียวในหลอดทดลอง ใส่สำลีชุบนำ้ไว้ที่ก้นหลอด ใส่นางพญาลงไปและมีสำลีปิดปากหลอดไว้ นำหลอดทดลองไปไว้ในทีมืดๆ ให้รบกวนน้อยที่สุด ไม่นานจะพบไข่มดเล็กๆ และต่อจากนั้นประมาณ 1-2 เดือนจะเริ่มเห็นมดงานเดินไปเดินมาในหลอดจึงค่อยเริ่มให้อาหาร เมื่อมีมดงานเพิ่มขึ้นประมาณ 10 ตัวจึงย้ายลงไปเลี้ยงในกล่องเปิดโดยทาพาราฟินออยล์รอบขอบกล่องกันมดหนี เลี้ยงไปซักพักจนได้จำนวนมด 90-200 ตัวก็ย้ายลงไปเลี้ยงในรังปูน ขนาด 20 x 30cm.ต่อจากนี้มดจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆจนสามารถขยายรังต่อไปได้อีก ถ้ามีแหล่งอาหารสมบูรณ์นางพญาจะมีอายุได้ถึง 10 ปี มดนางพญาต้องการอาหารประเภทโปรตีนเป็นพิเศษ ส่วนมดงานต้องการอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรท  ในระยะแรกนางพญาจะกินไข่หรือหนอนของตัวเอง ..เป็นปกติ  มดงานชุดแรกจะมีขนาดเล็กทำหน้าที่ดูแลไข่และหาอาหารบ้างและเมื่อมีอาหารสมบูรณ์มากขึ้นก็จะมีมดงานขนาดใหญ่ขึ้นนางพญามดแต่ละสายพันธ์เลือกพื้นที่สร้างรังแตกต่างกัน แม่เป้งสร้างรังบนต้นไม้ แมลงมันจะขุดดินสร้างรัง ถ้านางพญาตาย มดทั้งรังก็จะตายหมด เนื่องจากนางพญาจะควบคุมพฤติกรรมของมดทั้งรังโดยการสร้างฟีโรโมนออกมาควบคุมสื่อสารกับมดทุกตัวในการทำหน้าที่ภาระกิจที่แตกต่างกัน

มดวิทยา

มดวิทยา(Myrmecology)จึงเป็นศาสตร์ทีว่าด้วยการศึกษารวบรวมวิจัยองค์ความรู้เกี่ยวกับมด เนื่องจากการศึกษาหรือวิจัยตลอดจนการสำรวจความรู้เกี่ยวกับมดในประเทศไทยไม่ค่อยมีมาในอดีตทำให้เราอาจรู้จักมดน้อยไป ในขณะทีต่างประเทศมีนักมดวิทยาได้บุกเบิกศึกษาชีวิตมดอย่างจริงจังมาตั้งแต่ประมาณปี ค..1874 และคาดการณ์ว่ายังมีมดอีกมากมายหลายชนิดที่รอการค้นพบและตั้งชื่อ รวมทั้งองค์ความรู้ใหม่ๆที่เราจะเก็บเกี่ยวได้จากอาณาจักรมด   ในขณะที่สังคมเมืองพยายามกำจัดมดออกไปจากวิถีประจำวัน และหลงลืมไปแล้วว่าเรายังต้องอาศัยพึ่งพาใช้บริการจากระบบนิเวศน์ในธรรมชาติโดยที่มีมดเป็นตัวสำคัญอยู่ในระบบ หรือแม้กระทั่งความสะดวกสบายในวิถีสมัยใหม่ที่เราอาศัยอยู่ บางส่วนมาจากการศึกษาวิจัยมด และเมื่อกลุ่มเด็กๆรวมตัวกันสนใจสำรวจศึกษามด แม้มิใช่โครงงานศึกษาโดยตรงหรือคิดหวังได้พึ่งประโยชน์จากมด แต่ก็จะเป็นประสบการณ์ศึกษาที่น่าจะซึมซับ เรียนรู้เข้าใจระบบธรรมชาติที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนได้มากขึ้น
   ﴾͡๏̯͡๏﴿

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เด็กชายที่ชอบมด


ดลและแดน เป็นเด็กชายที่ชอบมดมาตั้งแต่เริ่มสนใจธรรมชาติ ดลมักชวนน้องและเพื่อนที่สนใจมดด้วยกันออกเดินสำรวจมดอยู่เป็นประจำ แตกต่างจากประสบการณ์ของหลายๆ คนที่เห็นมดแล้วอาจจะรำคาญ หรือนึกถึงมดแล้วจะต้องร้องยี้...คงเป็นเพราะตอนที่มันบุกเข้ารุกราน บนโต๊ะอาหาร ในขนมของหวานของเด็กๆ หรือแม้กระทั่งในเครื่องใช้อุปกรณ์ไอทีก็ไม่เว้น  มดจึงถูกจัดอยู่ในประเภทสัตว์ส่วนเกินที่จะต้องถูกกำจัดออกไปจากวิถีชีวิตในสังคมเมือง ทัศนคติติดลบที่มีต่อมด อาจบดบังเรื่องราวดีๆ ของมด จนทำให้เรามองข้ามความสำคัญของมดที่มีต่อระบบนิเวศน์ในธรรมชาติไป ดลและแดนเคยได้ยินเรื่องราวของเหล่ามวลมด จากนครเบล โอ-ฆาน ในหนังสือกองทัพมด ที่พ่อเคยอ่านให้ฟังในช่วงวัยห้าหกขวบ  แม้ว่าจะมีโครงเรื่องอันสลับซับซ้อน แต่เรื่องราวของมดที่เก็บนำ้ผึ้งไว้ที่ท้องและรายละเอียดบางส่วนที่เกี่ยวกับมดในเรื่องนี้ สร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นการทำรังของมดทั้งระบบให้กับเด็กๆ



เกี่ยวกับมด                
เราค่อยๆ สะกดรอยความรู้เกี่ยวกับมดตามเด็กๆไป จากแมลงไปถึงมดซึ่งเป็นพวกเดียวกัน มดทุกชนิดมีหกขาเป็นแมลง(Class insecta) ถูกจัดอยู่ในวงศ์มด(Family Formicidae) อันดับ ผึ้ง ต่อ แตน และมด(Order Hymenoptera) แต่ดลเคยเห็นมดหน้าตาแปลกประหลาด  จึงบันทึกภาพไปถามน้าเกรียงได้ความว่าเป็นแมงมุมเลียนแบบมด แต่มีขา 8 ขา ธรรมชาติช่างสร้างสรรค์ได้มหัศจรรย์ มดเป็นแมลงสังคมอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นรัง  แต่ละรังจะมีมดมากกว่าสองถึงสามรุ่น มดโตเต็มวัยจะคอยดูแลมดวัยอ่อน มีมดนางพญาตัวโตวางไข่ กับมดตัวผู้มีปีกคอยผสมพันธ์ ส่วนมดงานกับมดทหารจะผสมพันธ์ไม่ได้ ในรังมดหนึ่งรังจึงมีเรื่องราวอันสลับซับซ้อนน่าค้นหาอยู่มาก ยังไม่นับความหลากหลายของมดแต่ละชนิดที่จำแนกชนิดแล้วทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 15,000 ชนิด

เลี้ยงมดทั้งรัง
                ดลอยากเข้าไปเห็นเมืองในอาณาจักรของมด ซึ่งต่างทำหน้าที่และบทบาทของมดในแต่ละวรรณะให้ดำเนินภาระกิจไปตามระบบวงจรชีวิต นอกจากทำการสำรวจมดชนิดต่างๆ เพื่อรู้จักหน้าตาของมดสายพันธ์ต่างๆแล้ว เด็กชายดลเริ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงมด และต้องเข้าใจกันก่อนว่า การเลี้ยงมดหมายถึงมดทั้งรังทั้งระบบสังคม คงมิใช่การจับมดสองสามตัวมาเลี้ยง องค์ประกอบสำคัญของวงจรชีวิตที่จะพัฒนาเป็นมดหนึ่งรังได้ คงต้องมีมดนางพญาและมดตัวผู้ หรือหากเป็นนางพญาตัวเดียวที่ผสมพันธ์แล้วเธอจะค่อยๆขุดรูลงไปวางไขเพื่อผลิตมดงานและมดทหารออกมาหาอาหารและขุดสร้างรัง การเลี้ยงมดจึงต้องเตรียมพื้นที่มีดินไว้สำหรับให้มดขุดอุโมงต่อเชื่อมกันเป็น ห้องนางพญา ห้องเก็บอาหารและเก็บไข่ที่จะกลายเป็นดักแด้ สิ่งมหัศจรรย์ของชีวิตกำลังจะดำเนินไปในกล่องเลี้ยงมดที่ดลเคยคิดจินตนาการออกแบบไว้เพื่อการนี้

อุปสรรค...บทเรียนรู้สำหรับมดทั้งรัง
                หลังจากที่เริ่มรู้จักมดหลายชนิดรอบๆบ้าน ดลใช้น้ำหวานวางไว้แต่ละจุดในบ้านแล้วคอยดูว่ามีมดชนิดใดบ้างมากินนำ้หวานและทำตารางบันทึก มดคันไฟ มดเหม็น และมดอื่นๆที่อยู่ตามบ้าน ในครั้งแรกๆได้ผลน่าตื่นเต้น แต่การเลี้ยงมดครั้งแรกไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด แม้ว่าจะมีการเตรียมกล่องใส่ดินและท่อน้ำกับอาหาร ไว้อย่างพร้อมเพรียง เนื่องจากมดทำรังได้ทุกที่ เราสามารถพบได้ทุกหนแห่งของระบบนิเวศน์พื้นดิน   จากใต้ดินจนถึงเรือนยอดของต้นไม้สูง ประสบการณ์แรกๆ ของดลจึงอาจจะรู้จักมดน้อยไปหน่อยทำให้การเลี้ยงมดทั้งรังไม่ประสบผลสำเร็จ  เพราะพฤติกรรมในการหาอาหารของมดแต่ละชนิดแต่งต่างกัน การผสมพันธ์ของมดตัวผู้กับนางพญา และระบบสังคมในมดแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะตัว การเลี้ยงมดครั้งแรกๆจึงเป็นการชิมลางหาประสบการณ์กับระบบสังคมของมดชนิดต่างๆ ที่ได้พบเจอเป็นประสบการณ์ตรงและข้อมูลจากผู้รู้ ไปจนถึงแหล่งข้อมูลที่ พิพิธภัณฑ์มด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

             

ประสบการณ์มด
             ประสบการณ์บันทึกภาพมดโดย ด.. ดล เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเฝ้าสังเกตุการณ์ระบบชีวิตตัวเล็กๆ ภารกิจของมดแต่ละตัวกว่าจะเป็นระบบสังคมที่เป็นรังได้นั้นมหัศจรรย์และสำคัญต่อระบบนิเวศน์ในธรรมชาติมาก ดลได้พาน้องและพ่อแม่เข้ามาทำความรู้จักมด เฝ้าศึกษาสังเกตุการณ์มดมาตั้งแต่วัยเด็ก สิ่งสำคัญเหล่านี้ยังครุกรุ่นเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กชายดลไม่เลิกรา  ซึ่งคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวการศึกษามดที่ซับซ้อนขึ้นของกลุ่มเด็กๆ ที่รักมดในปัจจุบัน

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เด็กๆ ดูนกไปทำไม ?












กล้องดูนกตัวแรก......
          กระเป๋าผ้าเก่าๆ ข้างในบรรจุขาตั้งกล้องและ"สโคป" กล้องดูนกตาเดียวที่ดลและแดนได้รับมอบจาก"อาวิ" ไว้เพื่อกิจกรรมดูนก และศึกษาความรู้เรื่องราวของนกนานาชนิดในพื้นที่ธรรมชาติ เมื่อครั้งหลังจากพาไปดูนกที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
          การดูนกอาจจะดูเป็นเรื่องยากสำหรับครอบครัวมือใหม่ ถ้าเปรียบเทียบกับการสำรวจหนอนหรือแมลงแบบง่ายๆที่ใกล้ตัวกว่า กิจกรรมดูนกใช้ทักษะทั้ง ตา ดู หู ฟัง กับอุปกรณ์กล้องดูนก จะเป็นตัวช่วยให้เห็นรายละเอียดอย่างใกล้ชิด เพราะการที่จะได้พบเจอนกแต่ละชนิดในพื้นที่ธรรมชาตินั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก ในครั้งแรกที่ครอบครัวดลแดนได้ไปดูนกกับ"อาวิ"ที่บ้านกร่างแคมป์ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะและโอกาสที่ดี ทำให้เราทั้งครอบครัวเริ่มสนใจดูนกและศึกษานกมากขึ้นตั้งแต่นั้นมา
          การได้ไปเฝ้าดูศึกษานกทำความรู้จักนกในพื้นที่ธรรมชาติ ด้วยสีสันลักษณะและเสียงร้องที่แตกต่างกันมากมาย และที่สำคัญพฤติกรรมของนกแต่ละชนิดน่าสนใจมากและบางชนิดมหัศจรรย์ยิ่งกว่าแมลงเสียอีก  เพียงแต่ว่าต้องฝึกอดทนต่อการรอคอยธรรมชาติเสียหน่อย
รังนก พญาปากกว้างอกสีเงิน ที่กกไข่อยู่โผล่หน้ามาจ้องตากัน

บ้านกร่างแคมป์ แหล่งดูนกสำหรับนักดูนกทุกระดับ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เมื่อ ดล แดน ฟ้าและ"อาวิ" ปีนขึ้นไปบนหลังคารถจิ้ป เพื่อนั่งชมวิวสองข้างทางธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิด รถเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ในระหว่างทางนั้นเอง มีกิ่งไม้ยื่นโค้งโน้มตัวออกมาเกือบกลางถนน ดลเห็นปลายกิ่งมีก้อนๆ คล้ายรังนกห้อยอยู่  เมื่อเข้าไปใกล้ๆ ก็มองเห็นเป็นรังนกและที่ตรงปากประตูของรัง มีหน้านกจ้องมองพวกเราตาแป๋วไม่ขยับ เด็กสามคนเงียบกริบเหมือนต้องมนต์สะกด ทั้งตื่นเต้นและกลัวว่ามันจะบินหนีออกจากรังไปเสียก่อน เราเฝ้าดูแม่นกกกไข่อยู่สักพักจึงผละออกไป  "อาวิ"เปิดคู่มือดูนกให้เด็กๆดู พบว่าเป็นนกพญาปากกว้างอกสีเงิน Silver-breasted Broadbill นกชนิดนี้มักทำรังตามปลายยอดกิ่งไม้เพื่อป้องกันศัตรู  ประสบการณนี้เป็นรอยประทับอันงดงามที่ฝังตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายนซึ่งเป็นฤดูนกทำรัง ที่บ้านกร่างแค้มป์จึงเต็มไปด้วยนกป่านานาชนิด ผลัดเวียนกันมากินลูกไทรที่กำลังออกลูกเต็มต้น จากประสบการณ์ในครั้งนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้กับดลและแดนในการสำรวจสืบค้นเรื่องราวของนกอีกมากมายในเวลาต่อมา
ดล ผมและอาวิ กับกลุ่มนักดูนกมือโปร 
นกขุนแผนอกสีส้ม
นกตบยุง  หลงไฟอยู่กลางถนน ตอนกลางคืนขากลับ
ครั้งแรกที่ได้เห็นนกโพระดก
 ลูกนกยักษ์ คัคคู

          หลังจากได้ประสบการณ์เด็ดๆกับ"อาวิ"ที่แก่งกระจานมาแล้ว การดูนกของดลและแดน ได้กลายเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำรวจที่ให้เวลากับนกแถวบ้านกันอย่างเต็มที่ มีตั้งแต่ นกกางเขนเจ้าเก่า นกกระจอก นกเอี้ยง นกเขา นกอีแพรด นกกินปลี และนกอื่นๆอีกหลายชนิด มีประสบการณ์สำคัญที่ต้นมะม่วง บังเอิญมีรังนกขนาดย่อมซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางช่อใบ ดลสังเกตุเห็นรังนกมีรอยเย็บที่ใบห่อหุ้มกันไว้กับเส้นใย และคอยเฝ้าดูแม่นกก็พบว่าเป็นนกกระจิบธรรมดา Common tailorbird บินวนเวียนมาป้อนอาหารวันละหลายครั้ง ในความเพียรรอคอยเฝ้าดูในแต่ละวันนั้นเกิดจากความสนใจอยากรู้อยากเห็นที่สะสมต่อยอดกันมา การได้เห็นแม่นกป้อนอาหาร เป็นภาพที่เด็กๆหลายคนต่างอยากเห็น แต่ยิ่งไปกว่านั้นดลอยากจะเห็นตอนลูกนกหัดบินออกจากรัง ฉะนั้นการเฝ้าสังเกตุการณ์จึงต้องดำเนินไปอย่างระมัดระวังเพื่อมิให้แม่นกต้องทิ้งรังไปก่อน ต่อมามีสิ่งผิดปกติที่ดลสังเกตุเห็น ก็เมื่อตอนที่แม่นกป้อนอาหารให้ลูก หัวแม่นกเกือบจะลงไปในปากลูกนกได้ทั้งหัว ทำไมลูกนกถึงมีหัวโตกว่าแม่นก? ดลพยายามถ่ายภาพให้เห็นขนาดหัวของแม่และลูกให้เห็นเปรียบเทียบกัน พ่อ แม่และแดน ได้ดูภาพแล้วก็ต่างสงสัยและตั้งสมมติฐานกันต่างๆ นานา

เปรียบเทียบขนาดนก กระจิบหญ้าและนกอีวาบตั๊กกะแตน
แม่นกกระจิบและลูกนกอีวาบตั๊กกะแตน สังเกตุขนาดหัวลูกนกกับแม่นก

รังนกกระจิบที่ลูกนกอีวาบเติบโตขึ้นจนคับรัง นกกระจิบทำรังโดยการเย็บใบเข้าด้วยกันด้วยเส้นใย

        ทำให้ผมนึกถึงเพลงทีี่"อาวิ"ร้องให้เด็กๆฟังตอนที่นั่งรถไปแก่งกระจานด้วยกันขึ้นมาทันที  "กาเหว่าเอย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก  แม่กาก็หลงรัก  คิดว่าลูกในอุทร...." ส่วนดลก็เห็นว่าน่าจะเป็นพวกนกคัคคูมาไข่ทิ้งไว้ นกคัคคูเป็นนกวงศ์ที่ชอบวางไข่ในรังนกอื่นๆ เพื่อเลี้ยงลูกให้ เพียงแต่เรายังไม่แน่ใจว่าเป็นนกอะไรในวงศ์นกคัคคู  จนถึงเช้าวันหนึ่งแม่นกกระจิบบินวนเวียนรอบต้นมะม่วง ส่งเสียงร้องดังและถี่ขึ้น และขณะเดียวกันก็มีเสียงร้องของนกอีวาบตั๊กแตน Plaintive Cuckoo "ปี๊ป ปี ปี๊ป ปี๊ป ปี ปี๊ป"ดังอยู่ห่างๆ จากต้นมะม่วงอีกต้นหนึ่ง ดลจึงย่องเข้าไปดูที่รังปรากฏว่าลูกนกตัวโตหายไปแล้ว  แม่นกกระจิบบินวนส่งเสียงร้องอยู่พักใหญ่ก็บินหายไปด้วย เหลือแต่รังที่ว่างเปล่า ปล่อยให้คำถามของดลและแดนยังค้างคาไว้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด แต่ก็ทำให้เกิดแรงบันดาลใจให้ไว้สืบค้นกันต่อไปสำหรับเรื่องของนกคัคคู

เบิร์ดวอร์ค ชมสวนชวนกันดูนก

          มีพ่อแม่หลายคนถามว่า "เราพาเด็กๆดูนกไปทำไม ดูแล้วได้อะไร?" เป็นคำถามยอดฮิตสำหรับพ่อแม่มือใหม่ ผมเองมักจะเลี่ยงคำตอบไปให้น้าเกรียง....แต่จะเชื้อเชิญให้ลองดูกันเลย เบิร์ดวอร์คเป็นกิจกรรมดูนกในสวนสาธารณะที่จัดให้กับทุกครอบครัวโดย สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย เราชวนครอบครัวที่เริ่มสนใจธรรมชาติไปร่วมกิจกรรมดูนกกันในสวนสาธารณะ เป็นการเริ่มดูนกที่สนุกสนานเพราะมีทั้งพี่เลี้ยง ผู้รู้ เพื่อน พี่ ป้า น้าอา และกลุ่มครอบครัว การได้พบเห็นนกแต่ละชนิดได้ง่ายขึ้นเพราะมีพี่ๆ คอยชี้เป้า ตั้งกล้องให้ดูกันชัดๆ พร้อมเปิดคู่มือดูนกจำแนกชื่อชนิดของนกให้รู้จัก นับว่าเป็นโอกาศดีอีกครั้งหนึ่งสำหรับการเริ่มต้นดูนกของหลายๆ ครอบครัว  หลังจากนั้นเราจัดกิจกรรมวาดรูปนกที่ประทับใจร่วมกัน เพื่อให้เด็กๆได้เห็นและรู้จักนกมากขึ้น ทั้งยังกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในการดูนกครั้งต่อๆไป



ภาพวาดนก ทำความรู้จักนกที่ชอบจากคู่มือดูนก
นกเป็นตัวการสำคัญในระบบนิเวศน์ธรรมชาติ โดยเฉพาะกับสังคมพรรณพืช นกช่วยผสมเกสร กระจายเมล็ดพันธ์และช่วยขยายพันธ์ุต้นไม้ เรื่องราวของนกจึงเกี่ยวพันไปถึงพื้นที่สีเขียวที่เรากำลังขาดแคลนอยู่ จึงชวนกลุ่มครอบครัวมาร่วมกิจกรรมดูนกด้วยกัน มิใช่เพียงแค่ให้รู้จักนกมากขึ้น แต่ก็ยังคาดหวังถึงการสร้างสรรค์พื้นที่สีเขียวสำหรับสรรพชีวิตร่วมกัน.