วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ปีกนางฟ้า

ปีกนางฟ้า

ว่าด้วยปีกนางฟ้า
ปีกนางฟ้า ภาพจำหลักในเชิงสัญญะที่เก่าแก่มีที่มาซับซ้อนจากหลายแหล่งของเรื่องราวและความหมาย ภาพปรากฎของปีกนางฟ้าจึงมักถูกเคลื่อนย้ายอัตตลักษณ์ไปมาบนพรหมแดนมนุษย์ทั้งความย้อนแย้งและแปรปรวนต่อสวรรค์ นรกและโลก และเมื่อถูกทาบซ้อนให้เห็นบนชีวิตจริง  ความแปรเปลี่ยนจากภาระกิจเดิมของปีกนางฟ้าจึงมักถูกนำมาใช้ในจินตนาการเฉพาะอยู่เสมอ ขณะเดียวกันมันก็ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนสภาวะความจริงบางอย่างออกมาได้หลายมิติเช่นกัน

แกนสำคัญ ความหมายร่วม
ปีกนางฟ้า เทวดา หรือทูตสวรรค์ ความเป็นเทพ คือแกนหลักของพลังอำนาจเหนือมนุษย์ ที่พระเจ้าเนรมิตขึ้นมา  จากตำนานกรีกโรมันและคัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาเดิมในคริสตศาสนา ตั้งแต่สมัยที่เราเชื่อว่าโลกแบนมีสวรรค์อยู่ข้างบน นรกอยู่ข้างล่าง โลกเราอยู่ตรงกลาง คติความเชื่อเรื่องพระเจ้าสูงสุดบนดินแดนสวรรค์อยู่ในคัมภีร์อีกหลายๆม้วนรวมถึงตำนานเรื่องเล่าแถบตะวันออกด้วยเช่นกัน ไม่เฉพาะแต่คริสตศาสนา ภาพจำหลักเทวดาต้องติดปีกเพราะอยู่บนสวรรค์ ไปๆมาๆบนโลก คอยปกป้องดูแลและส่งข่าวสารระหว่างมนุษย์และพระเจ้า กายแสงติดปีกในร่างเด็ก หญิงและชาย จึงพบเห็นอยู่ในงานศิลปะโบราณโดยเฉพาะบนจิตรกรรมและประติมากรรมชิ้นสำคัญตั้งแต่ยุคกรีก โรมัน เรอเนสซองค์ คลาสิค บาโร้ก กอธีค ข้ามภพมาถึง ป้อปคัลเจอร์ในโลกร่วมสมัยยุคปัจจุบัน













เหล่าทวยเทพ ทูตสวรรค์

ความซับซ้อนของเหล่าทวยเทพติดปีกบนความเชื่อตามคัมภีร์คริสตศาสนาโรมันคาทอลิคและโรมันออร์ทอดอกซ์ โครงสร้างชั้นปกครอง จัดขอบเขตภาระกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้ จัดวางตำแหน่งหน้าที่ลำดับชั้นอยู่ 3 ชั้น แต่ละชั้นก็มีอีก 3 คณะ รวมแล้วมีลำดับชั้นถึง 9 ลำดับ ตั้งแต่ชั้นสูงสุด เซราฟิม เครูป และ โอฟานิม  ลงไปถึงคณะอัครทูต(Archangel)ทั้งเจ็ด มีคาเอล กาเบรียล ราฟาเอล อูรีเอล ซารีเอล เรมีเอล ราเกล รวมถึง คณะทูตสวรรค์(Angel)ที่มีอีกจำนวนมากมาย แต่ละคนติดปีกในจำนวนที่แตกต่างกันไป และมีหน้าที่หลากหลาย คอยปกป้องดูแลมนุษย์ (จะไม่ขอลงรายละเอียดในความซับซ้อนและที่มาข้อมูลอันคลาดเคลื่อนและเหลื่อมซ้อนกันอีกมากมาย)




ความแปรปรวนที่ร่วงหล่น

หมุดสำคัญคือเรื่องราวของอัครเทพทั้งเจ็ดมีซอกหลืบซับซ้อนสำคัญอยู่ เมื่อเดิมทีมีอัครเทพอยู่แปดองค์มิใช่เจ็ด อีกองค์หนึ่งคือ ลูซิเฟอร์ผู้ถูกสร้างจากแสงสว่าง ยิ่งใหญ่รองลงมาจากพระเจ้า เผชิญภาวะหลงในอำนาจและเหิมเกริมตน ก่อกบฎต่อพระเจ้า จึงถูกลงโทษให้ตกสวรรค์ (Fallen Angel)  และกลายมาเป็นปิศาจในที่สุด มีแง่มุมทับซ้อนตำนานหลักเข้าไปอีกหลายแง่มุม เมื่อ มิคาเอลหนึ่งในอัครเทพ ถูกมองว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ the fallen Angel เพราะเบื้องลึกของ มิคาเอลมีความอิจฉาลูซิเฟอร์ ที่พระเจ้าทรงโปรดปรานไว้ใจใช้งาน จึงกล่าวหาและใส่ร้ายลูซิเฟอร์ จนลูซิเฟอร์ถูกพระเจ้าตัดสินลงโทษ แต่เทวดาทั้งหลายที่เชื่อในความดีของ lucifer จึงได้ร่วมกันต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความจริง จึงเกิด มหาสงครามสวรรค์ครั้งยิ่งใหญ่ ระหว่างทูตสวรรค์ฝ่าย Lucifer กับอัครทูตที่นำทัพโดย มิคาเอล  จนในที่สุดลูซิเฟอร์พ่ายแพ้ พระเจ้าลงโทษให้ตกจากสวรรค์รวมทั้งทูตสวรค์ทั้งหลายที่อยู่ฝ่าย Luciferด้วย ต่างต้องตกลงจากสวรรค์สู่นรกบาดาลและมีสภาพเป็น Demons ในที่สุด แต่บางความเชื่อก็ว่า ตอนที่ตกสวรรค์พระเจ้าจับโยนไปในสวนเอเดนเป็นซาตานลูซิเฟอร์ในร่างของงู ผู้ที่ล่อลวงให้เอวาและอาดัมแอบกินแอปเปิ้ลผลไม้ต้องห้ามส่งต่อบาปครั้งแรกให้มวลมนุษย์ แต่ในประเด็นนี้ตำนานชาวฮีบรูระบุว่า ซาตานกับ ลูซีเฟอร์ เป็นคนละคนกัน ยังไงก้อตามแต่ ลูซิเฟอร์กลายเป็นตัวแทนแห่งความบาป การล่อลวงและความหยิ่งผยองตั้งแต่นั้นมา มีบางตำนานที่ถูกลบออกจากคัมภีร์ เมื่อพระเจ้าสร้างลิลิธขึ้นมาเพื่อให้เป็นเมียคนแรกของอาดัม เทพีรูปงามที่กาลเวลาไม่สามารถสร้างรอยตำหนิให้แก่เธอได้ บางตำนานเล่าว่าเคยเป็นเมียลูซีเฟอร์แล้วตีจากไปอยู่กับอาดัม เพราะสำนึกได้ว่าพระเจ้าได้สร้างมาจากผงคลีดินพร้อมๆกับอาดัมให้มีความรักกันเพื่อสร้างเผ่าพันธ์มนุษย์ ลูซีเฟอร์โกรธอาดัมมากจึงใช้แสงสังหารอาดัมแต่ลิลิธเอาตัวปกป้องตายแทนอาดัมด้วยความรัก พระเจ้าจึงสร้างเอวาขึ้นมาใหม่จากกระดูกซี่โครงอาดัม ส่วนลูซีเฟอร์เสียใจมากและโกรธแค้นพระเจ้ายิ่งนัก จึงคอยพยายามล่อลวงมนุษย์ให้มาเป็นพวกตนเพื่อทำศึกสงครามกับสวรรค์อีกครั้ง เกี่ยวกับลิลิธที่เคลื่อนย้ายไปมาระหว่างปีศาจที่มีการยอมรับนับถือว่าเป็นเทพแห่งปีศาจ มีเรื่องเล่าทาบซ้อนอยู่บนคัมภีร์โบราณอีกมากมายอ่านแล้วเป็นงง จับต้นชนปลายไม่เจอจึงขอละไว้ แต่คงเหลือภาพจำหลักของลิลิธปีศาจสาวสวยงามยั่วยวนติดปีกขนนกสีดำเทาเผยโฉมพร้อมเนื้อหนังและเรือนร่างเสมอ




ถึงตอนนี้ การปรากฏจากภาพซ้อนทับระหว่าง เทวดาตกสวรรค์ ซาตานและปีศาจล่อลวงจนถึงเทวทูต อาจหลอมรวมกันอยู่บนพรหมแดนสังคมมนุษย์โลก นัยยะภาพสะท้อนที่ฉาบตำนานเรื่องเล่าเอาไว้ ตราบใดที่ถูกปรากฏกายฉายภาพออกมา มักเกิดมุมสะท้อนในมิติเชิงลึกของสังคมที่มองเห็นความ แปรปรวน พร่าเลือน และเต็มไปด้วยสภาวะปัญหาวิกฤติที่ต้องเผชิญหน้าหาทางออก บนความเชื่อและความหวังกับอิสระภาพและสิ่งสูงสุดที่จับต้องได้หรือไม่ก็ตาม




ตอกย้ำผลพวง “Lucifer Effect”

ปีกนางฟ้า ระหว่างความเป็นมนุษย์และเหนือมนุษย์ มีทัศนคติซึมซับจากตำนานเรื่องเล่าจนถึงความเชื่อและศรัทธาพาไปถึงอุดมคติ ในมิติเหล่านั้นมีสภาวะผันแปร มีปัจจัยของสถานการณ์และพลวัตทางสังคมเป็นบริบทที่เฉพาะเจาะจงให้เกิดแรงกดดันทางจิตวิทยาที่สามารถงอกเงยความชั่วร้ายในตัวเรา เมล็ดพันธ์ที่ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตามเรามักจะพกพาแอบซ่อนไว้ภายในตัวเราเสมอ การข้ามเส้นไปมาระหว่างความดีและความชั่วที่มีเส้นมาตรฐานคุณธรรมกดทับเอาไว้อาจจะถูกปลดปล่อยในสถานการณ์จำเป็นหรือคับขันได้เสมอ ดังทุกๆวิกฤติการณ์ในสังคมปัจจุบัน




"
ความสามารถที่ไร้ขีดจำกัด ของจิตใจมนุษย์ที่จะทำให้เราทุกคนใจดีหรือโหดร้ายเห็นอกเห็นใจหรือเห็นแก่ตัวสร้างสรรค์หรือทำลายล้างและทำให้พวกเราบางคนกลายเป็นคนร้ายและคนอื่น เพื่อเป็นวีรบุรุษ". Phillip Zimbardo




เพราะเรา ต่างตกอยู่ในกระบวนการลดทอนความเป็นมนุษย์ หรือไม่ก็พอกพูนความเหนือมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้....

ภาคผนวก


หากการค้นคว้าหาคำความหมายและที่มาจากการอ่านข้อมูลทั่วไป เท่าที่บันทึกรอยเท้าระหัสตัวเลขในระบบเครือข่ายข้อมูลยักษ์มหึมา โดยไม่ต้องคัดกรองเฉพาะงานอ้างอิงต่อยอดจากผลงานวิจัยหรืองานค้นคว้าทางวิชาการ ขออนุมานเอาเองว่าก้อมาจากความจริงในระดับหนึ่งของการรับรู้ข้อมูลข่าวสารถึงแม้มีการบิดเบือน คลาดเคลื่อน หลงลืมและรวมถึงจินตนาการตามภูมิหลังของตนก้อตามเถอะ มันคือลมหายใจเข้าออกข้อมูลในบริบทของสังคมนั้นๆ ซึ่งผ่านอำเภอใจหรือที่เรียกว่าความโน้มเอียงทางทัศนคติของมนุษย์ชาติมิใช่หรือ?

ตั้งแต่มนุษย์สื่อสารเชิงภาษาได้ จากเรื่องเล่าพื้นบ้าน นิยายปรำปรา จนถึงเรื่องราวที่มาเทพปกรนัมทุกหนแห่งของแหล่งอารยะธรรม จนถึงคัมภีร์ศาสนาและ กฎหมายการปกครอง รัฐธรรมนูญที่ใช้ควบคุมระบบสังคมร่วมกัน ล้วนแล้วแต่ผ่านกระบวนการความโน้มเอียงทางทัศนคติมาแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าจะอยู่ในระดับละเอียดอ่อนซับซ้อนขั้นสูงสุดลูกหูลูกตาแค่ไหน

เฉกเช่นนี้ ประสบการณ์ของโลกคู่ขนาน ย่อมเป็นไปตามข้อมูลภูมิหลังรวมถึงประสบการณ์สัมผัสในเชิงมิติหลายๆระนาบแห่งการตีความด้วยเช่นกัน
นายดอกมา๒๐๑๙

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

จากแมลงปอถึงเรื่องเล่า....

 ปลายสุดถนนพัฒนาการ ๖๕ ยังมีหมู่บ้านทิ้งรกร้าง สมัยที่ยังไม่มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน

           หากท่านผู้อ่านบางท่านได้ติดตาม เรื่องเล่า...มาบ้างแล้ว คงจะเคยเห็นภาพประสบการณ์การเรียนรู้ที่บ้านของเด็กๆกับพ่อแม่  เริ่มตั้งแต่ความสนใจหนอนผีเสื้อของดลตอนวัย เจ็ดขวบ เริ่มต้นเรื่องที่ต้นส้มจี๊ดหน้าบ้านและพากันโยงใยไปถึงผีเสื้อหลากหลายชนิด "แมลงปอ"ก็เช่นกันเราเริ่มต้นความสนใจอยู่ตรงที่ทุ่งรกร้างหลังบ้านที่มีแหล่งน้ำขังเป็นตัวหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตน้อยใหญ่ให้อยู่รอด เรามีโอกาศได้ไปเก็บเกี่ยวเรียนรู้กันทุกๆวัน ค่อยๆสะสมแรงบันดาลใจให้มีมากพอจนเกิดความต่อเนื่องและโยงใยความอยากรู้อยากเห็นให้ขยายขอบเขตออกไปไม่สิ้นสุดมาจนถึงตอนโต แม้จะกลับเข้าสู่ระบบไปโรงเรียนกันหมดแล้ว ก็ยังโหยหาเวลาอิสระกลับเข้าสู่โลกธรรมชาติในช่วงเวลาวันหยุดและปิดเทอมอยู่เสมอ

ดลกำลังปั่นจักรยานลัดเลาะมาถึงทางรถไฟและคูน้ำ


แมลงปอตอนเริ่มต้น
            จากเส้นทางปั่นจักรยานที่พ่อพาเด็กสองคนปั่นกันเป็นประจำ ไปจนสุดทางถนนของหมู่บ้านร้าง ลัดเลาะต้นมะขามเทศออกไปเจอทางรถไฟสายตะวันออก  สภาพแวดล้อมแถวนี้ ถึงแม้จะมีซากปรักหักพังจากการสร้างไม่เสร็จของโครงการบ้านจัดสรรที่ทิ้งเหลือไว้ประกอบทิวทัศน์  มีกองขยะประปรายตามสุดทางถนนคอนกรีต  แต่ก็ยังเป็นห้องเรียนธรรมชาติให้เด็กสองคนเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี  ตรงข้างทางรถไฟเลียบยาวไปสุดลูกหูลูกตานี้เอง มีคูน้ำวิ่งคู่ขนานไปเจอกับคลองเล็กๆข้างหน้าไกลออกไป มีกอต้นธูปขึ้นอยู่ในคูน้ำเป็นหย่อมๆ   เราค่อยๆปั่นลัดเลาะมาตามแนวทางเดินที่ไม่ค่อยมีคนผ่านสัญจรมากนัก นอกจากฝูงวัวที่ยังมีคนเลี้ยงอยู่แถวนี้ ไมยราพยักษ์จึงขึ้นรกชันทั้งสองข้างทางจนมาถึงบริเวณข้างทางรถไฟ  สังเกตเห็นคูน้ำถูกขุดลอกสูงขึ้นมาด้วยกองดินตลอดแนวแปลกตาไปจากเดิม  ดลเห็นแมลงปอบ้านบินวนเวียนตามแนวคูน้ำเลยแวะจอดลงสำรวจก่อนใคร ต้องค่อยๆไต่ลงไปริมคูน้ำ  ส่วนพ่อและแดนตามไปสมทบ
ดลลงสำรวจคูน้ำข้างทางรถไฟ แหล่งอาศัยสรรพชีวิตมากมาย
ไม่เฉพาะแค่ตัวอ่อน
แมลงปอ


            “พ่อแมลงปอ.....นี่อยู่นี่ไงดลตะโกนบอกพ่อพลางชี้มือไปที่ผิวน้ำตรงหน้า นับว่าเป็นภาพประทับสำคัญครั้งแรกสำหรับการทำความรู้จักแมลงปอเพราะไม่ห่างไปจากจุดนี้เราได้พบกับเปลือกลอกคราบของแมลงปอเกาะคาอยู่บนใบต้นธูปริมคูน้ำ ดลมักเจอแมลงปออยู่บ่อยๆตามริมบึงหลังบ้าน หรือแม้กระทั่งแถวแหล่งน้ำขังตามท้องถนนก็เคยเจอ ด้วยความสงสัยว่ามันชอบมาบินวนเวียนอยู่ทำไม ดลเฝ้าสังเกตุดูอยู่นานๆหลายหน แมลงปอจะบินเอาปลายหางจุ่มลงไปตามผิวน้ำเป็นจังหวะๆ มันจะหาแหล่งน้ำที่เหมาะสมสำหรับการวางไข่ แมลงปอวางไข่ในน้ำเป็นเรื่องราวที่เราค้นเจอ และที่น่าตื่นเต้นยิ่งไปกว่านั้นแมลงปอคือแมลงนักล่าหรือตัวห้ำนี่แหละ ตัวอ่อนแมลงปอจึงกินสัตว์เล็กในน้ำ พอบินได้มันสามารถไล่จับงับแมลงกินกลางอากาศ  ถ้าอยากเห็นแมลงปอให้ลองออกมาวิ่งเล่นนอกบ้านเจอแอ่งน้ำหรือตามริมบึงรับรองเจอบินวนเวียนอยู่แน่นอน โดยเฉพาะเวลาหลังฝนตกตามบริเวณแหล่งน้ำทุกหนแห่ง  สำคัญตรงที่ดลและแดนยังไม่เคยเห็นเหตุการณ์ตอนแมลงปอไล่งับแมลงกลางอากาศตามคำบอกเล่าเลยสักครั้ง

แมลงปอตัวสำคัญลอยกางปีกอยู่บนผิวน้ำ

 เปลือกตัวอ่อนแมลงปอที่ไต่ใบต้นธูปขึ้นมาลอกคราบเป็นแมลงปอตัวเต็มวัย

แต่ก็นับว่าเป็นต้นทุนในการทำความรู้จักแมลงปออย่างจริงจังในเวลาต่อมากับน้าเกรียงและเพื่อนๆ โดยเริ่มต้นจากเส้นทางเดิมๆและพื้นที่ที่คุ้นเคยคือทุ่งหลังบ้าน  ดลเคยทำตำแหน่งแผนที่บ้านของเราและละแวกแถวนั้นรวมถึงแหล่งน้ำสำคัญเอาไว้ เป็นเส้นทางปั่นจักรยานสำหรับพาเพื่อนไปสำรวจกัน  มาย้อนคิดดูหากพลาดโอกาสสำคัญนี้ไป เราเกือบจะไม่รู้เลยว่ามีวงจรชีวิตที่มหัศจรรย์อีกมากมายอาศัยอยู่ทุกหนแห่งในธรรมชาติ ผมถือว่าเป็นจังหวะและโอกาสที่ดีอีกครั้งหนึ่ง  สำหรับประสบการณ์การเรียนรู้ในห้องเรียนธรรมชาติของดลและแดน ถึงแม้ว่าความใผ่ฝันของเด็กสองคนนี้และผมไม่สามารถเป็นจริงได้เสียทั้งหมด

 ตัวอ่อนแมลงปอที่อาศัยอยู่ในน้ำเป็นนักล่าหากินสัตว์เล็กๆ
ดลกับแดนกำลังเขียนแผนที่เส้นทางจักรยานและจุดสำรวจที่พบเจอตัวอ่อนแมลงปอ
ตลกับคูน้ำข้างทางรถไฟสายตะวันออก

ท้ายสุดจากเรื่องเล่า
            เราเล่าเรื่องเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกและมุมมองของเด็กๆ  ที่ผ่านประสบการณ์ในธรรมชาติ  ซึ่งสำหรับเราแล้วถือเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่พ่อแม่อย่างเราเพิ่งจะมาเห็นคุณค่าของร่องรอยความคิดของเด็กๆที่ตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้ ได้สัมผัสกับศักยภาพในการถ่ายทอดและตอบสนองการเรียนรู้โดยธรรมชาติ ในมิติของธรรมชาติซึ่งต่อมาเรียกขานกันว่า ห้องเรียนธรรมชาติ และโดยเฉพาะได้เห็นเป็นการละเล่นเรียนรู้ ของเด็กๆ ผ่านกระบวนการศิลปะที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างน่าสนใจ การรวบรวมภาพบันทึกและเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรง อาจจะยังไม่ครบหมดกระบวน แต่ก็ได้ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดที่ตรงนี้ ถือเป็นการตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในชีวิต และด้วยความพยายามที่จะเรียงลำดับ ความฝัน และความจริง ให้ร้อยเรียงกันเป็นจังหวะที่คล้องจองกับสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่รอบตัวพร้อมๆไปกับลูกในช่วงชีวิตวัยเด็ก เป็นคำบอกเล่าที่ย้ำเตือนถึงการให้เวลาและคุณค่ากับสิ่งที่จะเข้ามาและผ่านเลยไปในชีวิต  มีกุญแจดอกสำคัญอยู่ตรงที่พลังและหัวใจที่จะสามารถเปิดประตูหน้าต่าง สู่โลกแห่งความเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหน....แม้ว่าเราจะเคยจินตนาการไว้เช่นไรก็ตาม
  

หนอนของผีเสื้อยักษ์

   หนอนผีเสื้อกะท้อน ตัวโตกำลังกินใบกะท้อนที่ปลายยอดกิ่งเกือบหมด
อยากเล่าเรื่องราวความประทับใจของวัยเด็ก ตอนที่เกิดแรงบันดาลใจลุกขึ้นมาทำโน่นทำนี่อยู่เสมอ บางครั้งผู้ใหญ่มักเหมาเอาว่าเป็นการเล่นซนไปวันๆมองลึกลงไป การละเล่นทั้งหมดของเด็กสามารถนำพาไปสู่สิ่งสร้างสรรค์ได้เสมอ ผมมองเห็นวาระความสนใจของดลและแดนในแต่ละเรื่องมักเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ ถ้าหากเหล่าแรงบันดาลใจเหล่านั้นยังมิได้บรรลุสู่เป้าหมาย ความสนใจก็จะวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านั้นจนกว่าจะได้ก้าวเคลื่อนคืบหน้าไป เมื่อได้มีประสบการณ์เรียนรู้สัมผัสเพียงพอต่อความต้องการแล้วจะค่อยๆเบนความสนใจให้กับสิ่งใหม่ๆเข้ามาแทนที่ ขึ้นอยู่กับว่ามีความต่อเนื่องและเชื่อมโยงกับประสบการณ์เก่าได้มากน้อยแค่ไหน

  ดลกำลังปีนกระไดขึ้นไปเก็บหนอนกะท้อนจากกิ่ง
แดนก็ปีนกระไดขึ้นไปคอยรับหนอนกะท้อนจากแม่หน่อยปีนอยู่ด้านหลัง
ผีเสื้อยักษ์
ในช่วงหนึ่งตอนเด็กของดลและแดนที่มีแต่หนอนและผีเสื้อ  ระยะนั้นมีผีเสื้อยักษ์หรือผีเสื้อแอตลาส(Attacus atlas) เป็นตัวชูโรง ด้วยเหตุที่มันเป็นผีเสื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยนับรวมทั้งผีเสื้อกลางวัน(butterfly)และผีเสื้อกลางคืน(Moth)ผีเสื้อแอตลาสก็คือผีเสื้อกะท้อนนั่นเอง มันแปลงกายมาจากหนอนที่กินใบกะท้อน เป็นผีเสื้อปีกลายสีน้ำตาลและขาว มีลวดลายสลับสีเข้มและอ่อน ตรงหนวดจะมีลักษณะเป็นขนนก ไม่เหมือนกับผีเสื้อกลางวัน ดลและแดน เคยเห็นผีเสื้อกลางวันมาหลายชนิด ที่ตัวใหญ่ที่สุดก็น่าจะเป็นผีเสื้อถุงทอง แต่สำหรับผีเสื้อแอตลาสยังไม่เคยเห็น มันใหญ่กว่าและมีขนาดถึง ๓๐ ซม.ตอนกางปีกออก นั่นคือมอทที่ใหญ่ที่สุด เวลาไปไหนมาไหนจึงมักมองหาต้นกะท้อน หาดูทุกครั้งที่ขี่จักรยานผ่านก็ไม่เคยเจอสักที จินตนาการของเด็กสองคนครุกรุ่นอยู่ในใจ  พ่อจึงคิดหาทางคลี่คลายถ่ายทอดจินตนาการออกมาให้เป็นรูปธรรมเสียบ้าง

   ผลงานผีเสื้อยักษ์จำลองที่ดลวาดและหัดเลื่อยไม้ลงสีโดยมีพ่อคอยช่วย
มาทำผีเสื้อยักษ์กัน
เราลองทำตัวหุ่นจำลองผีเสื้อแอตลาสด้วยไม้มาเล่นกัน  จำลองแบบลักษณะให้เหมือน....ให้ขยับปีกได้ด้วย พ่อเองพยายามนึกฝันไปตามลูกแล้วก็ชวนกันคิดทำสิ่งที่เป็นไปได้  ดลได้ดูศึกษาแบบปีกและลำตัวอย่างละเอียดแล้ววาดลงในกระดาษ แบ่งชิ้นส่วนเป็นปีกคู่บนและล่างโดยวาดภาพชุดปีกไว้ข้างเดียว แล้วพับกระดาษเขียนก็ออปี้คู่ปีกอีกข้างหนึ่ง ได้ปีกคู่เท่ากันแบบสมมารตรพอดี  จากนั้นลอกแบบลงบนไม้ฉลุ  ดลพยายามเลื่อยไม้ฉลุอย่างทุลักทุเลพ่อต้องคอยช่วยเหลือและประกอบเป็นตัวจนสำเร็จ ดลจึงจัดการทาสีเลียนแบบผีเสื้อแอตลาส และทำให้มันขยับปีกได้ด้วย พามันบินเวียนร่อนไปมาทุกหนแห่งในบ้าน โดยมีน้องแดนวิ่งตามผีเสื้อยักษ์ไปด้วยความระทึกใจ

ไปจับหนอนยักษ์
จินตนาการกับความจริงที่สัมผัสได้แตกต่างกันมาก การที่จะถลำลึกเข้าไในโลกธรรมชาตินั้นถ้ามีโอกาสและจังหวะ เรามักจะไม่มีการรีรอ คราวที่อาตู่โทรศัพท์มาบอกให้ไปดูหนอนตัวโตเต็มต้นกะท้อนในสวนที่นครชัยศรี เรายกเลิกสิ่งที่จะต้องทำในวันนั้นโดยไม่ต้องชั่งใจเราจะไปสวนอาตู่ที่นครชัยศรีกัน ไปดูหนอนตัวโต" เมื่อไปถึงสวนเห็นต้นกะท้อนหน้าบ้านที่เหลือใบอยู่หรอมแหรม  มีตัวหนอนสีเขียวอ่อนลำตัวประมาณกล้วยเล็บมือนาง ซึ่งถือว่าตัวใหญ่มากในบรรดาหนอนด้วยกัน  บนหลังมีหนามและประแป้งขาวบางๆ ทั้งตัว คลานเกาะอยู่ตามลำต้นเต็มไปหมด

แดนชูกิ่งกะท้อนที่มีหนอนกำลังกินอยู่หลายตัว
หนอนกะท้อนบางตัวขาวเหมือนประแป้งกำลังคืบคลานลงมาเพื่อจะไปกินต้นอื่นๆ

ดลแดนไม่รีรอ ลองจับหนอนใส่มือเหมือนชั่งน้ำหนัก  หนอนอีกหลายๆตัวกำลังไต่คืบลงจากต้นเพื่อไปกินต้นข้างเคียง  ดลเตรียมกล่องหนอนมาใส่สองกล่องใหญ่ ถึงอย่างนั้นก็เห็นท่าจะเล็กไปสำหรับหนอนรุ่นใหญ่แบบหนอนกะท้อน ดลกับแดนเก็บหนอนตามลำต้นข้างล่าง ส่วนแม่หน่อยใช้บันไดปีนป่ายเก็บตามกิ่งบนต้น  หนอนกะท้อนสองลังกระดาษกับสองกล่องหนอนทั้งหมดประมาณ 30 กว่าตัวจำนวนมากขนาดนี้ จึงตัดสินใจกันว่า จัดแบ่งเอาไว้เลี้ยงส่วนหนึ่ง และหนอนที่เหลือเอาไปให้"อาสุนันท์"ที่สวนผีเสื้อกรุงเทพฯดูแลโดยตรงจะดีกว่า ลำพังคงจะหาใบกะท้อนมาให้หนอนทั้งหมดกินไม่พอแน่ "อาสุนันท์"เตรียมพร้อมรอรับเจ้าหนอนด้วยต้นกระท้อนปลูกใส่กระถางใบโตอยู่สี่ต้น เด็กๆไปถึงก็รีบจัดการย้ายเจ้าหนอนเข้าสู่บ้านใหม่ทันที


  ดักแด้หนอนกะท้อน ที่ใช้ใยห่อหุ้มและมีใบกะท้อนแห้งห่อหุ้มอีกชั้น
อาสุนันท์บอกว่าที่มีทั้งหนอนตัวโตและตัวเล็กก็เพราะมันกินอาหารไม่เท่ากันและออกจากไข่เวลาไล่เลี่ยกัน  แต่ดูทีท่าว่าพวกหนอนจะกินไปอีกไม่นานแล้วก็จะเข้าดักแด้ ซึ่งจะเขาอยู่นานหลายเดือน ต้องรอคอยอย่างอดทน จนกว่าจะได้เห็นเป็นผีเสื้อแอตลาส  แต่ที่มหัศจรรย์สุดๆ ก็คือเมื่อบินออกไเป็นตัวผีเสื้อตัวเต็มวัยแล้ว มันจะไม่กินอาหารอีกเลย

          “แล้วมันเกิดมาทำไม?” ดลตั้งคำถาม

   ผีเสื้อยักษ์แอตลาส หรือผีเสื้อกะท้อน (Attacus atlas) บันทึกภาพได้ที่เขาใหญ่

ความรู้และเรื่องราวของผีเสื้อไม่ได้อยู่แค่ตัวหนังสือ แต่มันคือการยักย้ายถ่ายเทข้อมูลที่เด็กๆ สนใจไปสู่ประสบการณ์สำคัญตามครรลองที่จะดำเนินไปจากโลกจินตนาการไปสู่ความเป็นจริง และบางครั้งจากโลกความเป็นจริงกลับไปสู่โลกจินตนาการก็มี....



ควบกล้ำ..บนผืนผ้าใบ

            ถอยหลังกลับมาตอนแรกเริ่มตอนที่เด็กๆกับศิลปะเป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน เมื่อได้เจอสีและพื้นที่ขนาดใหญ่โต และจะสนุกมากขึ้นไปอีกเมื่อได้มีประสบการณ์จากห้องเรียนธรรมชาติ ผู้เอื้ออำนวยจึงให้ความสำคัญกับผลสำเร็จเมื่อความงดงามที่เกิดขึ้นมิใช่เพียงร่องรอยขีดเขี่ยไร้ความหมาย ศิลปะควบกล้ำจึงเป็นที่มาของมุมมองที่จับเอาความงดงามที่สดใหม่ของเด็กแม้ดูเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเป็นธรรมชาติของเด็กๆ ถูกนำมาต่อยอดในมุมมองของผู้ใหญ่ที่สอดประสานความหมายจากประสบการณ์เดียวกัน ผลงานศิลปะจากการทำงานร่วมกันระหว่างพ่อและลูกครั้งแรกถูกรวบรวมคัดสรรจัดแสดงเป็นนิทรรศการศิลปะควบกล้ำเป็นครั้งแรก ในปี พ.. ๒๕๔๗


"น้ำตกห้วยยาง" .ประจวบคีรีขันธ์ แหล่งเรียนรู้ธรรมชาติแห่งแรกๆที่ดลรู้จัก ครั้งนั้นในวันที่ฝนพรำ ดลใส่เสื้อกันฝนเดินย่ำฝ่าเม็ดฝน พ่อเดินจูงพาลัดเลาะขึ้นน้ำตก ผ่านแก่งหิน ก้อนโต เป็นระยะๆ ท่ามกลางกระแสน้ำไหลหลากจากภูเขา ผ่านต้นยางต้นใหญ่ที่อาศัยพักพิงของเหล่าสรรพชีวิตน้อยใหญ่ที่ดลแวะไปทักทาย รวมถึงกระสุนพระอินทร์ชีวิตแปลกใหม่คล้ายกิ้งกือแต่หดตัวเป็นเม็ดกลมกลิ้งได้  ดลกลับมาบ้านละเลงสีจากประสบการณ์ตรงพร้อมบรรยากาศภาพรอยประทับ พ่อเห็น..ดลเห็น เป็นเช่นนั้นเอง  เหล่าชีวิตที่คุ้ยเคยจึงถูกวาดเพิ่มเติมลงไปโดยพ่อ  เราต่างเชี่อมโยงภาพประทับให้เห็นเป็นจริงขึ้นมาร่วมกัน



ฉลามใจดี เรื่องราวจากใต้ท้องทะเลลึก ที่ปกคลุมด้วยความมืดมิด มีฉลามยักษ์ใหญ่ใจดีกินแต่แพลงตอน พลัดหลงเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงปลาทะเลลึกที่แปลกประหลาดชื่อ แองเกลอฟิช ติดโคมไฟส่องแสงไว้ล่อเหยื่อพวกปลาที่หลงแสงสี   ดลถ่ายทอดจินตนาการ ผ่านสีสัน และเส้นโครงสร้างรูปทรงแบบฉับไว ด้วยแรงบันดาลใจจากข้อมูลเรื่องราวใต้ท้องทะเลลึก ณ.แหล่งเรียนรู้พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสน สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล จ.ชลบุรี โดยเฉพาฉลามวาฬตัวโตยาวกว่ารถที่บ้านเสียอีก ดลและแดนลองไปยืนเทียบและแตะสัมผัสตัวมาแล้วด้วย

. "ร่องรอยของแดน" ผลงานละเลง ขูดขีดและเขียน บนผืนผ้าใบชิ้นใหญ่ ของเด็กวัยสองขวบกว่าตามวัยพัฒนาการและประสบการณ์การรับรู้เท่าที่มีอยู่ เราพบว่าในร่องรอยที่ทับซ้อนมีความงดงามมหัศจรรย์ซ่อนอยู่มากมาย





. “สิ่งมีชีวิต การรับรู้ที่ตอบสนองสัมผัสของดลและแดน ถูกตีความผ่านสิ่งเคลื่อนไหวที่มีชีวิต สิ่งมีชีวิตของดลและแดน  ในขณะที่มีโลกทัศน์ที่แตกต่างกันด้วยทักษะการควบคุมกล้ามเนื้อมือ ร่องรอยที่เชื่อมโยงความรู้สึกในโลกใบเดียวกันจึงมีความแตกต่างกันหลากหลายจินตนาการ ด้วยฝีแปรงบนพื้นสีที่ต่างคนต่างเลือกละเลงกันคนละเฟรม

. “ปลากระเบน ดลติดใจอยู่ที่ ป.ปลา วนว่ายคล้ายกระพือปีก แถมรูปทรงประหลาดกว่าตัวอื่นเสียด้วย  ดลจึงลงมือวาดปลากระเบนเคลื่อนไหวคล้ายนกยักษ์แห่งท้องทะเล ตะหวัดทีแปรงฉวัดเฉวียน ส่วนมุมมองของพ่อมองผ่านทะลุจัดการวาดกระเบนใสใส่ท้องทะเล


.“ปลาผีเสื้อ ผลงานการละเลงสีบนผ้าใบขนาดใหญ่ในชิ้นแรกๆ โดยประสบการณ์ของดล การเขียนบนผ้าใบบนพื้นที่กว้างคงเหมือนท้องทะเลกว้างใหญ่ มากกว่าบนแผ่นกระดาษเล็ก ดลมีพื้นที่ให้วาดเล่นบนกระดาษฉากถ่ายรูปมาก่อน การวาดภาพบนผืนผ้าใบจึงสนุกสนาน สด และดิบอย่างที่เห็น  พ่อเลือกมองผ่าน รูปทรงสีใส  ของปลา ผีเสื้อ แม้เป็นเพียงชื่อสามัญ แต่หารู้ไม่ว่า ความสนใจของเด็กๆคืบคลานความสนใจโยงใยมาถึงผีเสื้อตัวจริงอีกหลากหลายชนิดในวัยต่อมาโดยวิธีการเดียวกันคือใช่กระบวนการศิลปะเป็นตัวถ่ายทอด

          สำหรับเด็กๆ บนผืนผ้าใบที่กว้างใหญ่เปรียบเสมือน พื้นที่เปิดกว้างสำหรับจินตนาการและอิสระภาพในการแสดงออกอย่างเต็มที่ สำคัญตรงที่จินตนาการเหล่านี้จะพรั่งพรูออกมาได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับข้อมูลและประสบการณ์ตรง ดลและแดน พรั่งพรูออกมาโดยไม่ขัดเขินคงเพราะ ประสบการณ์ตรงจากห้องเรียนธรรมชาติได้สร้างรอยประทับไว้มากมาย ประกอบกับการไม่คาดหวังในเชิงทักษะทางศิลปะมากนัก แต่มุ่งเน้นไปที่การค้นพบคุณค่าในธรรมชาติของสรรพสิ่งแม้กระทั่งคุณค่าของความไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม