วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ข้ามห้วย ขึ้นเขา ไปหาด้วง


ดลและแดนกับด้วงกว่างสามเขาตัวโต

        หลังจากได้ใช้เวลานั่งรถไฟอย่างช้าๆไปเมืองกาญจนบุรีครั้งล่าสุด ทำให้ย้อนนึกถึงช่วงเวลาสำคัญตอนที่เป็นช่วงรอยต่อของวัยที่กำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่นของลูกสองคน และถึงเวลาของการเลือกตัดสินใจระหว่างการกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาหรือจะดำเนินการบ้านเรียนให้กับลูกๆอีกต่อไป นับเป็นวัยที่ต้องการลิ้มลองการผจญภัยด้วยตัวเองมากขึ้น การไปเมืองกาญจในครั้งนั้นดลอยากไปบ้านพี่แจ่มที่ อ.สังขละบุรี ตามคำชวนของพี่ตู่โดยมีด้วงเป็นเป้าหมายสำคัญ ดลประเมินจากเส้นทางสำรวจกับพี่ตู่แล้วนับว่าเป็นเส้นทางที่น่าตื่นเต้น
ที่สำคัญจะเป็นการสำรวจในหน้าฝนด้วย และเป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มเดินรั้งท้ายอย่างทุลักทุเลไปตลอดเส้นทางเช่นกัน นับเป็นประสบการณ์สำคัญอีกครั้งหนึ่งที่ทั้งดลและแดนยิ่งจะหาโอกาสแบบนี้ได้ยากยิ่งในปัจจุบัน แต่สำหรับผมนั้นจดจำได้ดีถึงจุดเปลี่ยนสำคัญเหล่านั้น

กว่างสามเขา Chalcosoma atlas 


ณ บ้านห้วยมาลัย
          จากอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เราต้องเดินทางไปอีก 215 กิโลเมตร กว่าจะไปถึงอำเภอสังขละบุรี เมืองแห่งสายน้ำ สามสายมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำแคว ท่ามกลางขุนเขาเต็มไปด้วยผืนป่าที่ติดชายแดนพม่า เรามุ่งหน้าสู่บ้านพี่แจ่มผ่านสะพานข้ามสายน้ำชองกาเลียไปยังบ้านห้วยมาลัย หมู่บ้านชุมชนชาวมอญที่มีธรรมชาติห้อมล้อม มีแนวเขาตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง ที่บ้านพี่แจ่มยามค่ำคืนจึงเต็มไปด้วยแมลงและผีเสื้อกลางคืนที่หลากหลาย แม่พี่แจ่มเล่าให้ฟังว่าในบางค่ำคืนแทบจะไม่ต้องนอนเลยเพราะเสียงแมลงตัวโตบินมาตอมไฟบินชนหลังคาสังกะสีกันเป็นว่าเล่นตลอดคืน  เจ้าตัวที่ว่านี้คือกว่างสามเขาตัวโตสีดำมัน ดลและแดนเองก็ได้สัมผัสกว่างสามเขาที่นี่จากการทำไล้ท์แทรปในตอนกลางคืน ได้ยินเสียงกระพือปีกหึ่งๆบินวนก่อนจะเกาะผ้าขาวหรือไม่ก็หล่นพื้น เสียงดังปั๊กเพราะขนาดใหญ่ของมัน
เดินข้ามทุ่งหญ้า ผ่านทุ่งนา
พี่ตู่ นำทีมลัดเลาะผ่านเถียงนา 
 ข้ามห้วย ไต่ขึ้นเขา
          ยางในรถยนตร์ถูกสูบลมใบโตเตรียมไว้สำหรับข้ามลำห้วย พี่ตู่วางแผนกันไว้ว่าจะพาไปดูด้วงตามป่าไผ่แนวชายเขาหลังหมู่บ้าน เราเริ่มออกเดินไปตามทางหลังหมู่บ้าน พี่ทวนและวรรณชี้ไปที่แนวเขามองเห็นจากหมู่บ้านอยู่ลิบๆ ฝนลงเม็ดปรอยๆระหว่างย้ำเท้าไปถึงจุดข้ามที่ปลายลำห้วย สายน้ำขุ่นไหลแรงและกว้างพอๆกับถนนสองเลน ดลและแดนกลัวๆกล้าๆก่อนที่จะตัดสินใจนั่งบนไม้พาดห่วงยางให้พี่ตู่พาข้ามน้ำเชี่ยวกรากทีละคน จากนั้นเดินตัดทุ่งหญ้าลัดเลาะคันนา ข้ามลำห้วยน้ำใสเล็กๆก่อนเดินขึ้นเขาที่ลาดชันเข้าสู่ป่าไผ่ เดินไต่สูงขึ้นทางเดินจะลื่นเพราะฝนโปรยเอาไว้ ต้องคอยเกาะโหนต้นไผ่ไต่ดึงตัวเองขึ้นไป  ยิ่งสูงยิ่งชันและยิ่งลื่นที่สำคัญเมื่อนึกถึงตอนขาลงเราคงต้องไถลตัวลงไปแน่ๆ

ดลนั่งบนไม้พาดห่วงยางข้ามลำห้วยไหลแรง 
ข้ามลำธารน้ำใส ดล พี่ทวน วรรณและแดนนั่งพัก





ปีนขึ้นเขาท่ามกลางป่าไผ่
ค้นหาด้วงในดงไผ่         
          ป่าไผ่ค่อนข้างโปร่งไม่รกทึบนัก ลำต้นไผ่สูงเบียดเสียดฟ้าพื้นล่างยังมีไม้พุ่มผสมพืชคลุมดิน พี่ตู่ พี่ทวนและวรรณ ไต่ปีนนำทางอย่างคล่องแคล้ว "ไผ่นวลจะแตกต่างจาก ไผ่ตงและไผ่ข้าวหลามตรงที่ลำต้นจะมีสีขาวนวล ด้วงจะเจาะปลายยอดอ่อนให้เป็นรูแล้วกินน้ำยางที่ไหลออกมาเป็นอาหาร ฉะนั้นให้สังเกตุปลายยอดจะมีรอยหักนิดนึงไม่งั้นข้อไผ่ก็จะซ้อนกัน เรามักจะพบเจอด้วงคีมกวางเหลืองและกว่างชนเกาะอยู่ตามป่าไผ่แถวนี้" พี่ตู่บอกเล่าพลางชี้ให้ดูต้นไผ่นวล สีขาวแตกต่างจากไผ่ทั่วไป ดลและแดนแหงนมองตามขึ้นไป "โน้นไง" แดนตะโกนร้องชี้เป้าไปที่ก้อนดำๆ ตามปลายยอดของไผ่นวล  พี่ทวนไปที่โคนต้น ใช้สันมีดพร้าเคาะลำต้นแรงๆสองสามครั้ง เห็นก้อนดำๆร่วงลงพื้น ดลและแดนวิ่งไถลลงไปดูด้านล่าง คือด้วงคีมกวางเหลืองตัวผู้ มีคีมยื่นออกมาหนีบเจ็บอยู่เหมือนกัน "ถ้าเราเคาะต้นไผ่ไม่แรงพอด้วงจะบินไปเลย แต่ถ้าหล่นถึงพื้นด้วงจะรีบมุดลงดิน" พี่ตู่อธิบายให้เราฟัง คราวนี้เด็กสองคนได้แต่แหงนหน้ามองหาด้วงตามปลายยอดต้นไผ่นวล โดยมีพี่ทวนและวรรณเป็นคนคอยเคาะลำต้น "หนึ่ง สอง สาม ปัง! "วรรณนับสัญญาณให้พี่ทวนเคาะลำต้นไผ่ดังสนั่น  เห็นเป็นก้อนดำๆกระเด็นจากยอดร่วงลงพื้น ดลและแดนรีบไต่ลงไปใกล้โคนต้นตรงที่พื้นลาดชัน พบด้วงกว่างสามเขาสีดำเข้มตัวใหญ่อยู่หลายตัวส่งเสียงดังฟู่ๆ พี่ตู่แนะนำให้เลือกตัวผู้ที่มีเขาตัวโตๆไว้กับตัวเมียหนึ่งตัว เก็บใส่กระบอกไม้ไผ่ที่ตัดเตรียมไว้เอากลับไปเพาะเลี้ยง

ด้วงที่เกาะอยู่ปลายยอดต้นไผ่นวล

เวลาของด้วง
          "ปกติ ถ้าจับด้วงจะเลือกจับตัวใหญ่และจับตัวเมียไปตัวเดียวให้เป็นคู่ต่อไผ่หนึ่งกอ ที่เหลือปล่อยให้ออกลูกออกหลานตามธรรมชาติ จะไม่จับไปทั้งหมด" พี่ตู่เล่าไปพลางจับด้วงที่เหลือคืนที่ลำไผ่ "ต้องรอให้ถึงหน้าฝนพอฝนตกลงมา จนกระทั่งดินที่แห้งแข็งจะชุ่มชื้นอ่อนนุ่มจนด้วงเต็มวัยมุดขึ้นมาได้  มันจะทันกับหน้าหน่อไม้พอดีเป็นอาหารด้วงที่มีอุดมสมบูรณในหน้าฝน มันก็จะผสมพันธ์แล้วไต่ลงวางไข่ในดิน ปีละหนช่วงสั้นๆไม่ถึงหนึ่งเดือนในช่วงหน้าฝน ถ้าเป็นด้วงกว่างชนวงจรชีวิตจะประมาณ ๑ ปี แต่ถ้าเป็นด้วงคีมกวางเหลืองระยะหนอนจากไข่ไปเป็นตัวเต็มวัยจะนานถึงสองปีต้องรอให้เป็นตัวเต็มวัยแล้วพอถึงหน้าฝนอีกครั้งมันถึงจะขึ้นมา ฉะนั้นบางปีเราจะไม่เห็นด้วงคีมกวางเหลืองเลย"
ดลกับพี่ตู่กำลังเตรียมกระบอกเก็บด้วง
กระบอกไม้ไผ่เตรียมไว้เก็บกว่างชน
ดลกับด้วงคีมกวางเหลืองที่เก็บได้จากไผ่นวล

ด้วงคีมกวางเหลือง Odontolabis Mohoutii.
          พี่ตู่เล่าต่อไปอีกว่า "ถ้าเป็นนักเพาะด้วงก็จะรู้ว่า ด้วงที่เราเห็นกันอยู่ถ้าเป็นตัวผู้จะผสมพันธ์แล้วและสักพักก็จะตาย พอขึ้นมาจากดินก็จะรีบผสมเลยเพราะต้องแข่งกับธรรมชาติด้วยเพราะหน่อไม้กำลังออกถ้าไม่รีบผสมก็จะไม่มีอะไรกิน  ส่วนตัวเมียเราก็จะเลือกเก็บมาเพียงหนึ่งตัว เอามาไว้เพาะพันธ์ คืนส่วนที่เหลือให้กลับมุดดินไปวางไข่ตามธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นนักสะสมเขาจะเก็บเอาแต่ตัวผู้เพราะตัวผู้มักสวยงามกว่าไม่เอาตัวเมียและมักจะไปเก็บในช่วงปลายปีหลังจากที่ด้วงผสมกันหมดแล้วและโตสมบูรณ์เต็มที่ก่อนที่จะหมดอายุ"


          

        จากประสบการณ์ในครั้งนั้น ดลแดนได้ด้วงกลับไปเพาะเลี้ยงถึงหนึ่งปีกว่าจะเห็นผลสำเร็จและเมื่อมีด้วงบางตัวตายจึงได้เรียนรู้วิธีเก็บสะสมซากแมลงที่ชำนาญขึ้น คงเพราะมีแมลงเป็นแรงบันดาลใจในการเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก ในอีกมุมมองหนึ่งก็เห็นว่าเป็นการรบกวนธรรมชาติที่ดำเนินอยู่อย่างสงบ แต่ในขณะเดียวกันก็มองลึกลงไปอีก เราจะเห็นการรบกวนธรรมชาติของกันและกัน อาจเป็นการรบกวนที่เป็นการพึ่งพากันหรือไม่ก็ตาม ต่างก็เป็นเรื่องปกติในระบบนิเวศน์  เพียงแต่ว่ามันจะเกิดการเรียนรู้ ปรับตัวให้มีความสมดุลย์และยั่งยืนร่วมกันขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน